WTI vs Brent สองราคาน้ำมันหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
ราคาน้ำมันเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สะท้อนทิศทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเพียงไม่กี่ดอลลาร์สามารถส่งผลต่อค่าขนส่ง ต้นทุนการผลิตสินค้าไปจนถึงการเคลื่อนไหวของตลาดการเงิน แต่สิ่งที่มักทำให้หลายคนสับสนคือ ทำไมน้ำมันถึงมีราคามากกว่าหนึ่งตัว โดยเฉพาะตัวเลขที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดสองตัวคือ West Texas Intermediate (WTI) และ Brent
แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นราคาน้ำมันดิบที่ซื้อขายได้ในระดับโลก แต่ว่าแต่ละตัวต่างก็สะท้อนรูปแบบของตลาดน้ำมันที่แตกต่างกัน โดยราคา WTI จะผูกโยงกับสหรัฐฯ ในขณะที่ราคา Brent จะถูกใช้เป็นมาตรฐานสำหรับการค้าขายน้ำมันส่วนใหญ่ของโลก นอกสหรัฐฯ ซึ่งการเข้าใจที่มาของราคาทั้งสองและปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคา จึงช่วยให้เราเห็นภาพที่รอบด้านมากขึ้นเกี่ยวกับตลาดพลังงานโลก และเข้าใจว่าทำไมตัวเลขเหล่านี้จึงมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง
ทำไมถึงมีราคาน้ำมันสองแบบ
น้ำมันดิบในแต่ละแหล่งที่มาอาจไม่ได้มีคุณสมบัติเหมือนกันหมด ความแตกต่างด้านความหนาแน่น (density) และปริมาณกำมะถัน (sulfur content) ทำให้การกลั่นและต้นทุนการแปรสภาพแตกต่างกันออกไปเพื่อสร้างมาตรฐานในการซื้อขาย ตลาดจึงได้เลือกใช้น้ำมันดิบบางประเภทมาเป็น benchmark ราคาในการใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมทั่วโลก
2 benchmark ที่สำคัญที่สุด ได้แก่
• WTI (West Texas Intermediate): เป็นมาตรฐานของน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ
• Brent: เป็นมาตรฐานของน้ำมันดิบจากทะเลเหนือ ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับน้ำมันประมาณสองในสามของปริมาณที่ซื้อขายกันทั่วโลก
การมี benchmark หลายแบบช่วยให้ราคาสะท้อนตลาดในพื้นที่ที่ต่างกันได้ชัดเจนขึ้น เช่น หากอุปทานน้ำมันในสหรัฐฯ ล้นตลาด ราคา WTI ก็จะลดลง แม้ว่าราคา Brent อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ในทางกลับกัน หากเกิดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ราคา Brent ก็จะพุ่งขึ้นทันทีเพราะสะท้อนตลาดโลกนอกสหรัฐฯ
WTI: กระจกสะท้อนตลาดอเมริกา
WTI เป็นน้ำมันที่เรียกว่า light และ sweet คือ มีความหนาแน่นต่ำและกำมะถันต่ำ เหมาะสำหรับการกลั่นเป็นน้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่องบิน จุดส่งมอบของ WTI อยู่ที่เมือง Cushing รัฐ Oklahoma ซึ่งได้ชื่อว่า “Pipeline Crossroads of the World” เพราะเป็นศูนย์กลางเครือข่ายท่อส่งน้ำมันในสหรัฐฯ
ราคาของ WTI มักตอบสนองต่อปัจจัยภายในประเทศ เช่น:
• ระดับการผลิต shale oil
• ความสามารถของท่อส่งในการขนส่ง
• ข้อมูลสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จาก EIA
• กำลังการกลั่นของโรงกลั่นสหรัฐฯ
หากเกิดภาวะผลิตเกิน (oversupply) และไม่สามารถส่งออกได้เร็วพอ ราคาของ WTI ก็อาจลดลงอย่างแรงจนราคาต่ำกว่า Brent อย่างมีนัยสำคัญ
Brent: กระจกสะท้อนตลาดโลก
Brent คือน้ำมันดิบจากทะเลเหนือ จุดเด่นคือสามารถขนส่งทางเรือได้สะดวก ทำให้ราคานี้สะท้อน อุปสงค์และอุปทานระดับโลก ได้ชัดเจนมากกว่า WTI
ปัจจัยที่มักขับเคลื่อนราคา Brent ได้แก่:
• การตัดสินใจปรับนโยบายของ OPEC และพันธมิตร
• เหตุการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
• ความต้องการใช้น้ำมันจากประเทศผู้บริโภครายใหญ่ เช่น จีน อินเดีย และยุโรป
• ปัญหาคอขวดด้านการขนส่ง เช่น ช่องแคบ Hormuz หรือคลองสุเอซ
ดังนั้น หากต้องการดูภาพรวมของตลาดน้ำมันโลก Brent คือดัชนีที่ต้องติดตาม
ทำไม WTI มักถูกกว่า Brent
• ภูมิศาสตร์และการขนส่ง: จุดส่งมอบของ WTI อยู่ที่กลางแผ่นดินสหรัฐฯ การส่งออกต้องพึ่งท่อส่งและโครงสร้างพื้นฐานที่จำกัด ในขณะที่ Brent อยู่ในทะเลเหนือ ซึ่งขนส่งทางเรือได้สะดวก ทำให้ Brent สะท้อนราคาตลาดโลกได้รวดเร็วกว่า
• ข้อจำกัดด้านกฎหมายในอดีต: ก่อนปี 2015 สหรัฐฯ เคยห้ามส่งออกน้ำมันดิบ ส่งผลให้ WTI เกิดภาวะ oversupply ภายในประเทศ ราคาจึงถูกกดต่ำกว่า Brent แม้ข้อห้ามถูกยกเลิกแล้ว แต่ผลกระทบเชิงโครงสร้างยังคงอยู่
• Risk Premium ของ Brent: ราคาของ Brent มักได้รับ “ค่าพรีเมียม” เพิ่ม เพราะสะท้อนความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งในตะวันออกกลางหรือยุโรป ซึ่งเป็นเส้นทางหลักของการค้าพลังงานโลก
• บทบาทในตลาดโลก: Brent ถูกใช้เป็น benchmark สำหรับการค้าขายน้ำมันดิบประมาณสองในสามของโลก จึงมีสภาพคล่องและการอ้างอิงกว้างขวางกว่า WTI ทำให้ราคามักซื้อขายสูงกว่าเล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง
ความเสี่ยงและความผันผวนของตลาดน้ำมัน
ราคาน้ำมันดิบทั้ง WTI และ Brent มีความผันผวนสูง เนื่องจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มากมาย เช่น
• ภูมิรัฐศาสตร์: สงคราม ความขัดแย้ง หรือการคว่ำบาตร สามารถดันราคาน้ำมันให้พุ่งขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน
• อุปสงค์และอุปทานโลก: เศรษฐกิจจีนหรือสหรัฐฯ ที่โตช้า อาจกดดันความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก
• การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและพลังงานทดแทน: หากพลังงานหมุนเวียนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ก็จะกดดันราคาน้ำมันในระยะยาว
• ข้อมูลสต็อกและการผลิต: รายงานประจำสัปดาห์จากหน่วยงานอย่าง EIA หรือการปรับกำลังการผลิตของ OPEC สามารถเขย่าตลาดได้ทุกครั้งที่เผยแพร่
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมน้ำมันถึงเป็นตลาดที่ทั้งนักเก็งกำไรและนักลงทุนสถาบันต้องจับตาอยู่เสมอ เพราะแม้ไม่ได้เทรดน้ำมันโดยตรง แต่การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน WTI และ Brent ก็อาจเป็นสัญญาณที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของตลาดหุ้นและค่าเงินที่อิงกับพลังงาน รวมไปถึงตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน ETF น้ำมัน หรือกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์
ETF น้ำมัน: ทางเลือกสำหรับนักลงทุน
สำหรับผู้ที่อยากลงทุนในน้ำมันโดยไม่ต้องไปลงทุนเปิดสัญญา futures ด้วยตนเอง ปัจจุบันมี ETF ในต่างประเทศที่ผูกกับราคาน้ำมันทั้ง WTI และ Brent ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงตลาดน้ำมันได้สะดวกขึ้น ได้แก่
• DBO (Invesco DB Oil Fund) เป็น ETF ที่อ้างอิงกับ WTI futures โดยตรง อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของ DBO ไม่ได้ขึ้นกับราคาน้ำมันดิบอย่างเดียว แต่ยังขึ้นกับ โครงสร้างของตลาด futures (contango หรือ backwardation) และต้นทุนการ roll contracts
• BNO (United States Brent Oil Fund) เป็น ETF ที่ออกแบบมาเพื่อติดตามราคาของ Brent crude oil futures เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสะท้อนมุมมองต่อตลาดน้ำมันโลกมากกว่าตลาดในสหรัฐฯ
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างโอกาสการลงทุนในตลาดน้ำมัน ทาง KTAM ขอแนะนำ กองทุนเปิดเคแทม ออยล์ ฟันด์ (KT-OIL) (ความเสี่ยงระดับ 8) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Invesco DB Oil Fund (กองทุนรวมหลัก) ประเภทกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (Retail Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี DBIQ Optimum Yield Crude Oil Index Excess Return ซึ่งเป็นดัชนีที่มุ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าน้ำมันดิบ WTI
*กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน
คำเตือน : กองทุนนี้มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจจะขาดทุน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้เขียน: เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
บลจ.กรุงไทย