Dollar Smile Theory พฤติกรรมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจสุดขั้ว
เมื่อเศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงรุนแรง ดอลลาร์สหรัฐฯ มักถูกแสวงหาในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในเวลาเดียวกัน หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวอย่างโดดเด่น ดอลลาร์ก็สามารถแข็งค่าจากแรงสนับสนุนของความเชื่อมั่นและผลตอบแทนที่เหนือกว่าได้เช่นกัน พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนว่าดอลลาร์ไม่ใช่เพียงสกุลเงินหลักของโลก แต่เป็นตัวจับทิศทางวัฏจักรเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ
การวิเคราะห์ดอลลาร์อย่างเข้าใจถึงที่มาและเงื่อนไข จึงช่วยให้นักลงทุนสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดได้ก่อนใคร และวางกลยุทธ์ได้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจที่หมุนเร็วอยู่ตลอดเวลา
“Dollar Smile Theory “ หนึ่งแนวคิดที่ช่วยอธิบายพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐฯ
Dollar Smile Theory ถูกเสนอโดย Stephen Jen นักกลยุทธ์ด้านค่าเงินของ Morgan Stanley ได้อธิบายว่าค่าเงินดอลลาร์ไม่ได้แข็งค่าเพียงเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะเฟื่องฟูเท่านั้น แต่ก็สามารถแข็งค่าในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงได้เช่นกัน และในทางตรงกันข้าม ดอลลาร์มักอ่อนค่าลงในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และยังไม่มีปัจจัยขับเคลื่อนที่ชัดเจนไปทางใดทางหนึ่ง
ดังนั้น หากนำความสัมพันธ์ระหว่าง “สภาพเศรษฐกิจ” (เศรษฐกิจแย่ด้านซ้าย ดีด้านขวา) และ “ความแข็งแกร่งของดอลลาร์” มาพล็อตเป็นกราฟ ก็จะเห็นเส้นโค้งลักษณะตัว “U” แบบกว้าง คล้ายรอยยิ้ม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อของทฤษฎีนี้
ถอดรหัสสามช่วงของรอยยิ้ม ประกอบบริบททางเศรษฐกิจ
1. ช่วงปลายยิ้มด้านซ้าย: เมื่อความเสี่ยงเศรษฐกิจรุนแรง ช่วยกระตุ้นการแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัย
เมื่อเกิดวิกฤติทางการเงินหรือปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Demand) ก็มักเพิ่มสูงขึ้น ดอลลาร์สหรัฐฯ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จึงเป็นตัวเลือกแรกของโลกการเงิน เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงและมีความเชื่อมั่นในเครดิตของสหรัฐฯ
เหตุการณ์ปี 2008 เป็นตัวอย่างสำคัญที่ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของวิกฤติทางการเงินในสหรัฐฯ (วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์)
2. ช่วงท้องกลางรอยยิ้ม: ภาวะฟื้นตัวที่ไร้ทิศทางทำให้ดอลลาร์ถูกลดบทบาท
ในระยะที่เศรษฐกิจกำลังกลับมาฟื้นตัวอย่างช้าๆ และอัตราดอกเบี้ยไม่สูงจนกดดันสภาพคล่อง นักลงทุนมักเปลี่ยนโฟกัสจากการถือเงินดอลลาร์ ไปยังสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น หุ้นหรือพันธบัตรตลาดเกิดใหม่ (EM) ทองคำ หรือสินทรัพย์เสี่ยงที่เน้นศักยภาพเติบโต
ในปี 2017 ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ตลาดจะมีมุมมองว่าสหรัฐฯ กำลังจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ดัชนี dollar index (DXY) กลับลดลงเกือบ 10% สะท้อนว่าการฟื้นตัวพร้อมกันของเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้สหรัฐฯ ไม่ได้ดูโดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่นเหมือนเดิม นักลงทุนจึงเริ่มกระจายเงินทุนไปยังสกุลเงินอื่น และสินทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้น
3. ช่วงปลายยิ้มด้านขวา: สหรัฐฯ เติบโตโดดเด่นกว่าส่วนอื่นของโลก
เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวรวดเร็ว อัตราการจ้างงานแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อเร่งตัว ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จำเป็นต้องใช้นโยบายเข้มงวด เพื่อควบคุมแรงกดดันด้านราคา ผ่านการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือควบคุมปริมาณเงินในเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นและเงินทุนไหลกลับเข้าหาสินทรัพย์ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ
ดังเช่นในช่วงปี 2020–2022 สหรัฐฯ ฟื้นตัวหลัง COVID-19 ได้เร็วกว่าหลายภูมิภาค พร้อมธีมการเร่งตัวของเทคโนโลยี และดอกเบี้ยถูกปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าเร็วที่สุดในรอบหลายปี
มิติด้านการลงทุน: การใช้ประโยชน์จาก Dollar Smile Theory
แม้ Dollar Smile Theory จะไม่สามารถอธิบายทุกปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์ได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นกรอบวิเคราะห์หนึ่งที่ช่วยให้มองเห็นสัญญาณเชิงพฤติกรรมของตลาดได้ชัดเจนขึ้น และนำไปสู่การวางกลยุทธ์ที่มีเหตุผลรองรับในแต่ละภาวะเศรษฐกิจ อาทิ
ใช้ประเมินความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระบบการเงินโลก
การแข็งค่าของดอลลาร์ในช่วงที่ไม่มีแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจจริง อาจเป็นสัญญาณสะท้อนความกังวลต่อเสถียรภาพของตลาด ทำให้นักลงทุนควรทบทวนสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงในพอร์ต
- ใช้เป็นจังหวะมองหาผลตอบแทนจากสินทรัพย์อ้างอิง USD เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เด่นชัดกว่า
ช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็ว Fed ใช้นโยบายการเงินตึงตัว การหาจังหวะเข้าสะสมสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นสกุลดอลลาร์ ก็อาจมีความได้เปรียบมากกว่า
- เพิ่มโอกาสกระจายพอร์ตในช่วงดอลลาร์อ่อนค่า
ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงมักสะท้อนว่าสินทรัพย์ในตลาดต่างประเทศมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น ทั้งในแง่แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนโลก จึงสามารถใช้ช่วงเวลานี้เพื่อเพิ่มน้ำหนักในประเทศหรือภูมิภาคที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งกว่า รวมไปถึงทองคำที่มักได้อานิสงส์จากดอลลาร์อ่อนค่า
- USD เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่ความไม่แน่นอนสูง
หากตลาดเริ่มให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่กำลังก่อตัว การถือครองดอลลาร์มากขึ้นอาจเป็นวิธีลดความผันผวนของพอร์ต ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่นักลงทุนทั่วโลกยอมรับร่วมกันมานานในฐานะ “กลไกป้องกันความเสี่ยงมาตรฐาน”
ท้ายที่สุด ทฤษฎี Dollar Smile นี้ช่วยย้ำว่าการกระจายพอร์ตทั้งในมิติภูมิศาสตร์และสกุลเงิน เป็นปัจจัยสำคัญในการลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของค่าเงิน ที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลาของการลงทุน
ข้อควรระมัดระวัง
แม้ Dollar Smile Theory จะช่วยให้มองเห็นสัญญาณเชิงพฤติกรรมของตลาดได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เครื่องมือที่อธิบายทุกปัจจัยในตลาดค่าเงินได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่อาจส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ เช่น
• ดุลบัญชีเดินสะพัด
• นโยบายการคลัง
• ทิศทางเงินทุนไหลเข้า–ออก
• ความเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยี
การวิเคราะห์ที่ดีจึงควรอยู่บนฐานข้อมูลรอบด้าน และไม่พึ่งพาเครื่องมือใดเพียงอย่างเดียว
สรุปภาพรวม: ดอลลาร์กับภาวะ “สุดขั้ว”
-ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อโลกเผชิญความเสี่ยงขั้นรุนแรง
-ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความได้เปรียบเหนือประเทศอื่นอย่างชัดเจน
-ดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงฟื้นตัวแบบไม่เร่งตัว
ด้วยโครงสร้างการรับรู้ความเสี่ยงของนักลงทุนทั่วโลก ดอลลาร์จึงเป็นสกุลเงินที่มีความสามารถในการปรับตัวสู่ความแข็งแกร่งได้ในสองมุมที่ตรงข้ามกันอย่างน่าสนใจ
คำเตือน : ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้เขียน: เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
บลจ.กรุงไทย