Smart Beta คืออะไร? เมื่อ ETF เริ่มฉลาดขึ้นและซับซ้อนขึ้นด้วย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ลงทุนผ่านกองทุน ETF อยู่แล้ว ก็อาจเคยได้ยินชื่อของ “Smart Beta” ผ่านมาบ้าง แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการลงทุน แต่ก็เป็นแนวคิดด้านการลงทุนที่ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง
Smart Beta ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่างการลงทุนแบบ Passive และ Active ด้วยวิธีการเลือกหุ้นตามปัจจัยเชิงคุณภาพต่าง ๆ แทนที่จะอิงแค่ขนาดของบริษัทเหมือนดัชนีทั่วไปเพียงอย่างเดียว
คำถามคือ… Smart Beta คืออะไรและน่าสนใจแค่ไหนเมื่อเทียบกับดัชนีปกติ? เหมาะกับแผนการลงทุนของคุณหรือไม่? เนื้อหาต่อไปนี้จะเล่าให้ฟัง
1. เริ่มจากพื้นฐาน: Beta คืออะไร?
ก่อนจะไปทำความเข้าใจกับ Smart Beta เราต้องเริ่มจากคำว่า “Beta” เสียก่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในค่าทางคณิตศาสตร์ ที่นักลงทุนมืออาชีพใช้ประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์
ในโลกการลงทุน Beta คือค่าที่บ่งบอกว่า สินทรัพย์ (เช่น หุ้นหรือกองทุน) “มีความสัมพันธ์กับความเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม“ มากน้อยเพียงใด รวมถึงว่าสินทรัพย์ตัวนั้น มีความผันผวน (Volatility) เทียบกับตลาดอย่างไร
- เมื่อ Beta = 1 แปลว่าสินทรัพย์เคลื่อนไหวขึ้นลงสอดคล้องกับตลาดพอดี เช่น ถ้าตลาดปรับตัวขึ้น 5% สินทรัพย์นี้ก็มักจะขึ้นประมาณ 5%
- เมื่อ Beta > 1 แปลว่าสินทรัพย์มีความผันผวนสูงกว่าตลาด ดังนั้น เมื่อใดที่ตลาดขึ้น สินทรัพย์นี้มักจะ ”ขึ้นแรงกว่า“ แต่ถ้าตลาดลง สินทรัพย์นี้ก็มีแนวโน้มจะ ”ลงแรงกว่า“ เช่นกัน (เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการโอกาสรับผลตอบแทนมากกว่าตลาด)
- เมื่อ Beta < 1 แปลว่าสินทรัพย์มีความผันผวนต่ำกว่าตลาด ดังนั้น สินทรัพย์กลุ่มนี้มักขยับขึ้นหรือร่วงลงน้อยกว่าตลาด (เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ เช่น หุ้นกลุ่ม Defensive หรือกองทุน Low Volatility)
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น
- หากหุ้นตัวหนึ่งมี Beta = 1.5 (มากกว่า 1) เมื่อตลาดปรับตัวขึ้น 10% หุ้นตัวนี่อาจปรับขึ้นถึง 15%
- แต่กลับกัน หากตลาดปรับตัวลง 10% หุ้นตัวนี้ก็อาจดิ่งลงถึง 15% เช่นกัน
กล่าวง่าย ๆ ก็คือ Beta เป็นตัวชี้วัดว่านักลงทุนกำลังลงทุนในสินทรัพย์ที่ “เคลื่อนไหวแรงกว่า” หรือ “นิ่งกว่าตลาด” ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
2. แล้ว Smart Beta คืออะไร?
Smart Beta คือกลยุทธ์การลงทุนที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง Passive Investing (ลงทุนตามดัชนีแบบดั้งเดิม) และ Active Investing (ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นตามดุลยพินิจ)
แทนที่จะเลือกหุ้นตามขนาดมูลค่าตลาด (Market Cap) เหมือนดัชนีทั่วไป Smart Beta จะใช้หลักการการคัดเลือกหุ้น (Rules-Based Approach) โดยเพิ่มปัจจัยเฉพาะ (Factors) ที่มีหลักฐานเชิงสถิติบ่งชี้ว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว มาเป็นตัวกรองในการคัดสรรหุ้น
ตัวอย่างปัจจัย (Factors) ที่ Smart Beta นำมาใช้ในการกรองหุ้น
- Value Factor ลงทุนในหุ้นที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน เช่น หุ้นที่มี P/E และ P/B ต่ำ
- Momentum Factor เน้นหุ้นที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
- Quality Factor คัดเลือกหุ้นที่มีคุณภาพสูง เช่น กำไรสม่ำเสมอ หนี้สินต่ำ กระแสเงินสดดี
- Low Volatility Factor เลือกหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการความมั่นคง
- Size Factor เน้นลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap) ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง
บางกองทุน Smart Beta อาจเลือกใช้เพียงปัจจัยเดียว ขณะที่บางกองทุนอาจผสมผสานหลายปัจจัยเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น
3. Smart Beta ETF แตกต่างจาก ETF ดั้งเดิมอย่างไร?
- Traditional ETF: ลงทุนตามดัชนีตลาดแบบดั้งเดิม เช่น S&P 500, Nasdaq-100 หรือ SET50 ซึ่งดัชนีเหล่านี้มักคัดเลือกหุ้นตามมูลค่าตลาดของบริษัท (Market Cap) เป็นหลัก บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงจะมีน้ำหนักในดัชนีมากกว่า โดยไม่มีการคัดกรองในเชิงคุณภาพหรือปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ
- Smart Beta ETF: ใช้วิธีคัดเลือกหุ้นตาม ปัจจัยเชิงกลยุทธ์ (Strategic Factors) เช่น คุณภาพ (Quality), ราคาน่าสนใจ (Value), โมเมนตัม (Momentum) หรือความผันผวนต่ำ (Low Volatility) แทนที่จะอิงแค่ขนาดบริษัทเพียงอย่างเดียว
กระบวนการสร้าง Smart Beta ETF จะเริ่มจากการที่ผู้จัดทำดัชนี (Index Provider) เช่น MSCI, FTSE Russell หรือ S&P Dow Jones พัฒนาดัชนี Smart Beta ขึ้นมาก่อน ด้วยการออกแบบสูตรคัดเลือกหุ้นตามปัจจัยเฉพาะที่ต้องการ จากนั้นบริษัทจัดการ (Asset Manager) จะออกกองทุน ETF และซื้อหุ้นตามดัชนีดังกล่าว (กองทุนดัชนี)
กล่าวได้ว่า แม้ Smart Beta ETF จะเป็นกองทุนที่บริหารแบบ Passive เพราะลงทุนตามดัชนีเหมือนกัน แต่เบื้องหลังของดัชนีนั้น ถูกออกแบบมาอย่างมีระบบโดยคำนึงถึงปัจจัยที่อาจช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวร่วมด้วย
4. ข้อดีของ Smart Beta มีอะไรบ้าง?
- ค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนแบบ Active Fund แต่ให้โอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าดัชนี
- มีโครงสร้างการคัดเลือกหุ้นที่ชัดเจน ช่วยลดอคติจากการตัดสินใจของมนุษย์
- กระจายความเสี่ยงได้ดี เพราะยังคงเน้นการลงทุนในหุ้นจำนวนมากเหมือนกับ ETF
ข้อควรระวังของ Smart Beta
- ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เลือกใช้ และไม่มีปัจจัยใดที่ให้ผลตอบแทนดีในทุกช่วงเวลา
-โครงสร้างอาจซับซ้อน ทำให้บางครั้งนักลงทุนไม่เข้าใจชัดเจนว่ากองทุนกำลังเน้นปัจจัยอะไร
- ค่าธรรมเนียมสูงกว่า ETF ทั่วไปเล็กน้อย เนื่องจากมีการคัดเลือกหุ้นตามกลยุทธ์เฉพาะ
5. สรุป: Smart Beta เหมาะกับใคร?
-เหมาะกับผู้ที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่เหนือกว่าดัชนีทั่วไป แต่ไม่ต้องการจ่ายค่าธรรมเนียมสูงเหมือนกองทุนแบบ Active
- เหมาะกับผู้ที่เข้าใจและยอมรับได้ว่า ผลลัพธ์ในระยะสั้นอาจผันผวน แต่เน้นโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
- สำหรับผู้ที่ยังใหม่กับการลงทุน หรือพอใจกับผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดแบบที่ไม่ซับซ้อน การเลือกใช้ Passive ETF ที่อ้างอิงดัชนีตลาดทั่วไปก็อาจเพียงพอ หรืออาจขยับไปสู่ Smart Beta ETF ที่ซับซ้อนมากขึ้นในภายหลัง
6. ตัวอย่างกองทุนรวมที่นำกลยุทธ์ Smart Beta มาใช้ อาทิ
-กองทุนเปิดเคแทม World Quality Factor Equity Passive (ชนิดสะสมมูลค่า) (KT-WQUALITY-A)
(ความเสี่ยงระดับ 6)
-กองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนใน iShares Edge MSCI World Quality Factor UCITS ETF (กองทุนรวมหลัก) โดยกองทุนหลักเน้นลงทุน ในบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (DM) เป็นหลัก เพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี MSCI World Sector Neutral Quality Index
-กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยพิจารณาจากปัจจัยคัดกรองเพิ่มเติมเช่น ผลกำไรสม่ำเสมอ อัตราส่วนหนี้สินต่ำ และผลตอบแทนจากเงินลงทุนสูง (ROE)
-เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงระยะยาวจากหุ้นพื้นฐานดีในระดับโลก และต้องการกระจายความเสี่ยง ข้ามภูมิภาคไปพร้อมกัน
-เป็น Smart Beta ในรูปแบบของ Quality Factor
กองทุนเปิดเคแทม US Small Cap Equity Passive (ชนิดสะสมมูลค่า) (KT-USSM-A)
(ความเสี่ยงระดับ 6)
-กองทุนเน้นลงทุนใน Vanguard Small-Cap ETF โดยกองทุนหลักเน้นกระจายการลงทุนในบริษัทขนาดเล็กของ สหรัฐฯ ที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี CRSP US Small Cap Index ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับน้ำหนักของหุ้นดังกล่าวในดัชนีอ้างอิง
-กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นขนาดเล็กถึงกลางของสหรัฐฯ ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาว แม้มีความ ผันผวนสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มศักยภาพการเติบโต ให้กับพอร์ต
- เป็น Smart Beta ในรูปแบบของ Size Factor
กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ อิควิตี้ ฟันด์ (ชนิดสะสมมูลค่า) (KT-WEQ-A)
(ความเสี่ยงระดับ 6)
-เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน AB Low Volatility Equity Portfolio (กองทุนหลัก) ซึ่งมีกลยุทธ์ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความผันผวนต่ำ โดยลงทุนในหุ้นที่อยู่ในประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก รวมถึงกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
-ไม่ใช่แค่ ETF เท่านั้นที่นำแนวคิด Smart Beta มาใช้ เรายังเห็นกอง
ทุนแบบ Active หลายกอง ที่นำกลยุทธ์ ลักษณะเดียวกัน มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคัดเลือกหุ้น ซึ่ง AB Low Volatility Equity Portfolio กองทุนรวมหลักของ KT-WEQ-A เป็นกองทุนประเภท Active ที่นำแนวคิด Low Volatility จาก Smart Beta มาปรับใช้ เพื่อคัดเลือกหุ้นที่มีความผันผวนต่ำและมีศักยภาพสร้างผลตอบแทนระยะยาว
-เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนของพอร์ตจาก Low Volatility Factor และการกระจายความเสี่ยง ทั่วโลก ขณะเดียวกัน ก็ยังเชื่อมั่นในกระบวนการวิเคราะห์เชิงรุกของผู้จัดการกองทุน
คำเตือน : กองทุนมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผู้เขียน: เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ