• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      สหรัฐเผยตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านสูงกว่าคาดในเดือนก.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 5.2% สู่ระดับ 1.428 ล้านยูนิตในเดือนก.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.290 ล้านยูนิต ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านลดลง 2.8% สู่ระดับ 1.354 ล้านยูนิตในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.386 ล้านยูนิต (อินโฟเควสท์)
      เฟดเผยแบบจำลอง GDPNow บ่งชี้ GDP สหรัฐขยายตัว 2.3% ใน Q3/68 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 2.3% ในไตรมาส 3/2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1 และขยายตัว 3.0% ในไตรมาส 2 เฟดสาขาแอตแลนตาจะรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ครั้งต่อไปในวันที่ 26 ส.ค. (อินโฟเควสท์)
      "เบสเซนต์" เตรียมเริ่มกระบวนการสรรหาประธานเฟดคนใหม่ในเดือนก.ย. นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า เขาเตรียมสัมภาษณ์บุคคล 11 คนที่อาจขึ้นดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แทนนายเจอโรม พาวเวล โดยการสัมภาษณ์ดังกล่าวจะเริ่มขึ้น หลังวันแรงงานสหรัฐ ซึ่งตรงกับวันที่ 1 ก.ย. "ผมจะเริ่มพบกับพวกเขาหลังวันแรงงานเพื่อคัดเลือกและนำเสนอรายชื่อให้ท่านประธานาธิบดีทรัมป์" นายเบสเซนต์กล่าวในรายการ Squawk Box ของสำนักข่าว CNBC ทั้งนี้ รายชื่อ 11 คนดังกล่าว ได้แก่ นางมิเชลล์ โบว์แมน และนายฟิลิป เจฟเฟอร์สัน ซึ่งต่างก็เป็นรองประธานเฟด, นายเควิน วอร์ช และนายแลร์รี ลินด์ซีย์ ซึ่งต่างก็เป็นอดีตผู้ว่าการเฟด, นายคริส วอลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด และเป็นสมาชิกถาวรของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC), นายเจมส์ บูลลาร์ด อดีตประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์, นางลอรี โลแกน ประธานเฟด สาขาดัลลัส, นายมาร์ค ซัมเมอร์ลิน อดีตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจในรัฐบาลของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช, นายเดวิด เซอร์วอส หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายการตลาดของเจฟเฟอรีส์, นายเควิน แฮสเซ็ตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ รวมทั้งนายริก รีเดอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนด้านตราสารหนี้ทั่วโลกของบริษัทแบล็คร็อค บุคคลในรายชื่อดังกล่าวต่างมีประสบการณ์ในตลาดการเงินและนโยบายการเงิน และแม้บางส่วนเคยสนับสนุนให้มีการปฏิรูปเฟดในระดับต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นในความเป็นอิสระของเฟด แม้วาระการดำรงตำแหน่งของนายพาวเวลจะยังไม่สิ้นสุดจนถึงเดือนพ.ค.2569 แต่ทำเนียบขาวก็ต้องการเร่งกระบวนการสรรหาประธานเฟดคนใหม่เพื่อผลักดันให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย (อินโฟเควสท์)
      "เบสเซนต์" คาดรายได้จากภาษีศุลกากรปีนี้อาจสูงกว่า 3 แสนล้านดอลล์ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า เขายังไม่ได้หารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับแนวคิดการนำเงินได้จากการเรียกเก็บภาษีศุลกากรมาจ่ายเป็นเงินปันผลกลับคืนสู่ชาวอเมริกัน แต่ย้ำว่าทั้งเขาและปธน.ทรัมป์ต่างมุ่งมั่นในการชำระหนี้ของประเทศ "ผมเคยบอกว่ารายได้จากภาษีศุลกากรปีนี้อาจสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ แต่ตอนนี้ผมคงต้องปรับตัวเลขประมาณการขึ้นอย่างมาก เราจะลดตัวเลขการขาดดุลต่อ GDP เราจะเริ่มชำระหนี้ และหลังจากนั้นจึงสามารถใช้เงินส่วนนั้นชดเชยคืนให้แก่ชาวอเมริกัน" นายเบสเซนต์กล่าว และเสริมว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจกลับไปสู่ภาวะ "การขยายตัวที่ดีและเงินเฟ้อต่ำ" แบบทศวรรษ 1990 อย่างไรก็ดี นายเบสเซนต์กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยในระดับสูงคือสาเหตุของปัญหาในเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคที่อยู่อาศัยและครัวเรือนรายได้น้อยที่มีหนี้บัตรเครดิตสูง (อินโฟเควสท์)
      S&P คงอันดับเครดิตสหรัฐฯ ที่ AA+ ชี้รายได้ภาษีศุลกากรอาจช่วยชดเชยงบขาดดุล บริษัทเอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) คงอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ที่ระดับ AA+ แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือยังคงมีเสถียรภาพ S&P ชี้ว่า ภาพรวมทางการคลังของสหรัฐฯ ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญ แต่รายได้จากภาษีศุลกากรที่เก็บจากประเทศอื่น ๆ อาจช่วยชดเชยผลกระทบด้านการขาดดุลงบประมาณ อันเนื่องมาจากกฎหมายงบประมาณและลดภาษีฉบับล่าสุด โดยกฎหมายดังกล่าวชื่อว่า One Big Beautiful Bill Act ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามบังคับใช้ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา S&P ระบุว่า ขณะนี้รายได้จากภาษีศุลกากรมีศักยภาพที่จะลดปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่เกิดจากกฎหมายงบประมาณใหม่ได้ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวกเล็กน้อย ตลาดจับตาถ้อยแถลงพาวเวล ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร (19 ส.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ร่วงลงกว่า 300 จุดเนื่องจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ขณะที่นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,922.27 จุด เพิ่มขึ้น 10.45 จุด หรือ +0.02%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,411.37 จุด ลดลง 37.78 จุด หรือ -0.59% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,314.95 จุด ลดลง 314.82 จุด หรือ -1.46% นักวิเคราะห์จากบริษัท Harris Financial Group กล่าวว่า นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงก่อนที่พาวเวลจะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง โดยต่างก็คาดว่าพาวเวลอาจจะส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดัชนี Nasdaq ถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง โดยหุ้นอินวิเดีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงลง 3.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 4 เดือน ส่วนในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 นั้น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงมากที่สุด โดยร่วงลง 1.88% ตามด้วยหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารดิ่งลง 1.16% ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวขึ้น 1.8% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคดีดตัวขึ้น 1% (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ $1.07 คาดเจรจายุติสงครามยูเครนหนุนอุปทานพุ่ง สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (19 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าการเจรจาไตรภาคีระหว่างผู้นำสหรัฐฯ ยูเครน และรัสเซีย เพื่อผลักดันให้มีการยุติสงครามในยูเครน อาจนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ซึ่งจะทำให้รัสเซียสามารถส่งออกน้ำมันและส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.07 ดอลลาร์ หรือ 1.69% ปิดที่ 62.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 81 เซนต์ หรือ 1.22% ปิดที่ 65.79 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่า ตลาดจับตาประชุมแจ็กสันโฮลหาสัญญาณดอกเบี้ยเฟด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (19 ส.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.1% แตะที่ระดับ 98.265 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3864 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3812 ดอลลาร์แคนาดาในวันจันทร์ (18 ส.ค.) แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 147.51 เยน จากระดับ 147.86 เยน และทรงตัวเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8076 ฟรังก์ ส่วนยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1647 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1660 ดอลลาร์ในวันจันทร์ และเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3485 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3505 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $19.30 นลท.ชะลอเทรดก่อนพาวเวลแถลงที่แจ็กสันโฮล สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (19 ส.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยกดดันตลาด และจากการที่นักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล ในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 19.30 ดอลลาร์ หรือ 0.57% ปิดที่ 3,358.70 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)  
      บอนด์ยีลด์ร่วง จับตารายงานประชุม FOMC, ถ้อยแถลง "พาวเวล" อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ก่อนการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประจำวันที่ 29-30 ก.ค.ในวันพุธนี้ และการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในสัปดาห์นี้ ณ เวลา 21.34 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.310% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.912% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      อังกฤษปรับเพิ่ม GDP ปลายปี 66 ชี้เศรษฐกิจหลังโควิดฟื้นตัวกว่าที่คิด สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) ของสหราชอาณาจักร ปรับตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจของประเทศ ณ สิ้นปี 2566 เป็นขยายตัวมากกว่าระดับสูงสุดในช่วงก่อนโควิด-19 อยู่ 2.2% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 1.9% ONS เปิดเผยในวันนี้ (19 ส.ค.) ว่า การปรับตัวเลขดังกล่าวเป็นผลมาจากการทบทวนวิธีการคำนวณผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ตามรอบปกติ ซึ่งรวมถึงการใช้ข้อมูลด้านการวิจัยและพัฒนาที่ดีขึ้น และการเปลี่ยนแปลงวิธีการวัดผลกิจกรรมของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เครก แม็คลาเรน หัวหน้าฝ่ายบัญชีประชาชาติของ ONS ชี้แจงว่า "การปรับปรุงครั้งนี้ส่งผลให้ตัวเลขของภาคเภสัชกรรมและภาคการผลิตสูงขึ้น เนื่องจากผลผลิตในต่างประเทศที่บริษัทเหล่านี้เป็นเจ้าของโดยตรงจะถูกนับรวมเป็น GDP ของ UK ด้วย" อย่างไรก็ตาม แม็คลาเรนเสริมว่า "ในภาพรวมแล้ว การปรับปรุงทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตเพียงเล็กน้อย โดยการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในช่วงปี 2541 ถึง 2566 ยังคงอยู่ที่ 1.8% และการเติบโตเฉลี่ยรายไตรมาสยังคงอยู่ที่ 0.5%" แม้ว่าตัวเลขจะถูกปรับขึ้น แต่ภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ UK หลังโควิด-19 ยังคงเติบโตในอัตราที่ช้ากว่าอีกหลายประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นที่นายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์เมอร์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ราเชล รีฟส์ ได้ให้คำมั่นกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ดังกล่าวหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปีที่แล้ว (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดสูงสุดในรอบกว่า 5 เดือน ขานรับความหวังยุติสงครามยูเครน ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกสูงสุดในรอบกว่า 5 เดือนในวันอังคาร (19 ส.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินโอกาสในการยุติสงครามในยูเครน หลังจากการหารือที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันจันทร์ระหว่างผู้นำสหรัฐฯ ยูเครน และยุโรป ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 557.81 จุด เพิ่มขึ้น 3.80 จุด หรือ +0.69% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,979.08 จุด เพิ่มขึ้น 95.03 จุด หรือ +1.21%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,423.07 จุด เพิ่มขึ้น 108.30 จุด หรือ +0.45% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,189.22 จุด เพิ่มขึ้น 31.48 จุด หรือ +0.34% หุ้นกลุ่มกลาโหมของยุโรปร่วงลง 2.6% ซึ่งเป็นการปรับตัวแย่ที่สุดในรอบกว่า 1 เดือน และกลายเป็นกลุ่มที่ถ่วงดัชนี STOXX 600 มากที่สุด โดยหุ้น Leonardo ของอิตาลีดิ่งลง 10.2% ขณะที่หุ้น Hensoldt และหุ้น Renk Group ร่วงลง 9.5% และ 8.3% ตามลำดับ ส่วนหุ้น Rheinmetall ร่วงลง 4.9% นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า ตลาดปรับตัวขึ้นอย่างระมัดระวัง ซึ่งสะท้อนมุมมองว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดข้อตกลงสันติภาพ แม้ยากที่จะกำหนดรูปแบบที่แน่ชัด ด้านหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยนำตลาดปรับตัวขึ้น โดยหุ้นกลุ่มยานยนต์พุ่งขึ้น 2.4% และหุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มบวก 1.6% ขณะที่หุ้นสินค้าหรูหราพุ่งขึ้นแรง โดยหุ้น Moncler พุ่งขึ้น 4.9% และหุ้น Burberry ทะยานขึ้น 5.1% (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 31.48 จุด นักลงทุนหวังรัสเซีย-ยูเครนยุติสงคราม ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันอังคาร (19 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นหลายกลุ่ม แม้ถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มกลาโหม ขณะที่นักลงทุนประเมินความเป็นไปได้ของข้อตกลงยุติสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,189.22 จุด เพิ่มขึ้น 31.48 จุด หรือ +0.34% หุ้นกลุ่มอากาศยานและกลาโหมร่วงลง 2.8% ซึ่งเป็นการปรับลงรายวันที่มากที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. แม้ตลอดทั้งปียังบวกกว่า 70% โดยการอ่อนตัวครั้งนี้สอดคล้องกับหุ้นกลุ่มกลาโหมยุโรปโดยรวม หลังนักลงทุนขายทำกำไรจากการปรับขึ้นแรงก่อนหน้านี้ หุ้นกลุ่มการเงินเป็นตัวนำหนุนดัชนี FTSE 100 โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 0.3% ขณะที่หุ้น Metro Bank พุ่งขึ้น 5.3% หลังจาก RBC Capital Markets ปรับเพิ่มคำแนะนำจาก "sector perform" เป็น "outperform" นักลงทุนกำลังจับตาข้อมูลเงินเฟ้อจากราคาผู้บริโภคของอังกฤษที่จะประกาศในวันพุธนี้เพื่อหาทิศทางนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางอังกฤษ (อินโฟเควสท์)   
      ญี่ปุ่น
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 168.02 จุด สิ้นสุดการทำนิวไฮ 2 วันติด ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบในวันนี้ (19 ส.ค.) ท่ามกลางสภาวะการซื้อขายอันไร้ทิศทางที่แน่ชัด โดยนักลงทุนได้เทขายเพื่อทำกำไร ภายหลังจากที่ดัชนีได้ทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ติดต่อกันเป็นวันที่สองเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ส.ค.) สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 43,546.29 จุด ลดลง 168.02 จุด หรือ -0.38% หุ้นลบนำตลาดได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มโลหะที่ไม่มีส่วนผสมของเหล็ก และกลุ่มธุรกิจประกันภัย (อินโฟเควสท์)  
      จีน
      จีนเผยรายได้การคลัง 7 เดือนแรก เพิ่มขึ้น 0.1% กระทรวงการคลังของจีนแถลงในวันนี้ (19 ส.ค.) ว่า รายได้ทางการคลังของประเทศในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปีนี้ ขยับขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่ารวมกว่า 13.58 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลกลางจีนมีรายได้ทางการคลังมากกว่า 5.85 ล้านล้านหยวนในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค. ซึ่งลดลง 2% จากปีก่อน ในขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นมีรายได้มากกว่า 7.73 ล้านล้านหยวน ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.8% ส่วนรายจ่ายทางการคลังของจีนในช่วงเจ็ดเดือนแรก ขยายตัว 3.4% อยู่ที่เกือบ 16.1 ล้านล้านหยวน โดยรายจ่ายของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้น 8.8% และรายจ่ายของรัฐบาลท้องถิ่นเพิ่มขึ้น 2.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน สำหรับรายจ่ายในหมวดสำคัญในช่วงเจ็ดเดือนแรกนั้น พบว่ารายจ่ายด้านการศึกษาอยู่ที่ประมาณ 2.44 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 5.7% รายจ่ายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่ที่ 5.33 แสนล้านหยวน เพิ่มขึ้น 3.2% และรายจ่ายด้านประกันสังคมและการจ้างงานสูงถึงกว่า 2.76 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 9.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (อินโฟเควสท์)
      วิกฤตแรงงานจีน อัตราว่างงานเยาวชนพุ่งแตะ 17.8% สูงสุดในรอบ 11 เดือน อัตราการว่างงานในกลุ่มเยาวชนจีนกลับมาพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน หลังจากปรับตัวลดลงติดต่อกันมา 4 เดือน เนื่องจากนักศึกษาจบใหม่จำนวนมากเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน ในขณะที่ตลาดไม่มีตำแหน่งงานเพียงพอที่จะรองรับ สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) รายงานในวันนี้ (19 ส.ค.) ว่า อัตราว่างงานในกลุ่มอายุ 16-24 ปี (ไม่รวมนักเรียน) ในเขตเมืองพุ่งขึ้นแตะ 17.8% ในเดือนก.ค. จากระดับ 14.5% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งอัตราว่างงานที่ได้รับการเปิดเผยล่าสุดนี้ถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. ปีก่อน ในปีนี้ จีนมีผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสูงถึง 12.2 ล้านคน มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยผู้สำเร็จการศึกษาจำนวนมากต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานที่เต็มไปด้วยคู่แข่งและตำแหน่งงานที่ไม่เพียงพอ หลายคนประสบความยากลำบากในการหางานที่สอดคล้องกับระดับการศึกษาและทักษะ รัฐบาลจีนได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการออกมาตรการหลายด้านในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยกระทรวงทรัพยากรบุคคลและประกันสังคมได้จัดทำแคมเปญระหว่างเดือนก.ค.-ธ.ค. เพื่อสนับสนุนบัณฑิตและเยาวชนที่ยังไม่มีงานทำผ่านบริการแนะแนวอาชีพ การจัดหางาน รวมถึงการเปิดโอกาสในการฝึกอบรม แม้มีมาตรการดังกล่าว แต่อัตราการว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาวยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีช่องว่างระหว่างลักษณะงานที่ตลาดเสนอและความคาดหวังของผู้สมัคร อีกทั้งเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงเผชิญความท้าทาย โดยอุปสงค์ภายในไม่สามารถทดแทนการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคธุรกิจดั้งเดิมอื่น ๆ ได้เต็มที่ (อินโฟเควสท์)
      "หวัง อี้" แนะ จีน-อินเดียจับมือเป็นพันธมิตร อย่ามองกันเป็นคู่แข่ง หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้เดินทางเยือนกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ในวันจันทร์ (18 ส.ค.) เพื่อพบปะหารือกับสุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย โดยหวังกล่าวว่า จีนและอินเดียควรสร้างความเข้าใจเชิงยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง รวมถึงมองกันและกันในฐานะพันธมิตร ไม่ใช่คู่แข่ง ขณะเดียวกัน จีนพร้อมยึดมั่นในความเป็นมิตรและผลประโยชน์ร่วมกันกับอินเดีย กระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงว่า หวังกล่าวว่า ในฐานะที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้วยจำนวนประชากรรวมกันมากกว่า 2.8 พันล้านคน จีนและอินเดียควรแสดงความรับผิดชอบในระดับโลก ดำเนินบทบาทในฐานะชาติมหาอำนาจ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างให้กับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งผ่านความเป็นเอกภาพ ตลอดจนมีส่วนร่วมในการส่งเสริมโลกหลายขั้วอำนาจ และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและเท่าเทียมกัน หวังกล่าวว่า จีนและอินเดียได้ดำเนินการตามฉันทามติที่ผู้นำของทั้งสองประเทศบรรลุร่วมกัน โดยค่อย ๆ กลับมาแลกเปลี่ยนและเจรจากันในทุกระดับอีกครั้ง พร้อมกับรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน ตลอดจนเปิดให้นักแสวงบุญชาวอินเดียสามารถกลับมาแสวงบุญที่ภูเขาและทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ในเขตปกครองตนเองทิเบต (ซีจ้าง) ของจีนได้อีกครั้ง "ความสัมพันธ์จีน-อินเดีย มีแนวโน้มเชิงบวกในการกลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง" หวังกล่าว หวังเสริมว่า ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 75 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับอินเดีย ทั้งสองฝ่ายควรเรียนรู้จากอดีต และจำเป็นอย่างยิ่งที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีความเข้าใจเชิงยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง รวมถึงมองกันและกันในฐานะพันธมิตรและโอกาส ไม่ใช่คู่แข่งหรือภัยคุกคาม พร้อมทั้งมุ่งเน้นการลงทุนทรัพยากรอันมีค่า เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและการฟื้นฟูประเทศอย่างแท้จริง (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบเล็กน้อย นลท.ขายทำกำไรหลังหุ้นพุ่งแรง ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดขยับลงเล็กน้อยในวันนี้ (19 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากดัชนีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีเมื่อวานนี้ อันเนื่องมาจากแรงซื้อของนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,727.29 จุด ลดลง 0.74 จุด หรือ -0.02% หุ้นที่ปรับตัวลงในวันนี้รวมถึงหุ้น East Money ร่วงลง 3.4%, หุ้น Wuxi Apptec ดิ่งลง 6.9%, หุ้น Shenghe Resources ปรับตัวลง 3.7% และหุ้น Shenzhen Envicool ร่วงลง 3.9% (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 53.95 จุด จับตาดอกเบี้ย LPR จีน, ประชุมเฟด ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบ 4 วันทำการติดต่อกันในวันนี้ (19 ส.ค.) และปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายขณะจับตาธนาคารกลางจีนประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีและ 5 ปี ในวันพุธ (20 ส.ค.) รวมถึงการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 21-23 ส.ค. ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,122.90 จุด ลดลง 53.95 จุด หรือ -0.21% (อินโฟเควสท์)  
      เอเชีย และอื่นๆ
      มาเลเซียส่งออกเดือนก.ค.พุ่ง 6.8% YoY สวนทางคาดการณ์ตลาด ข้อมูลจากทางการมาเลเซียซึ่งเปิดเผยในวันนี้ (19 ส.ค.) ปรากฏว่ายอดการส่งออกในเดือนก.ค. ได้ขยายตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเกินคาดถึง 6.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากการทะยานขึ้นของยอดจัดส่งสินค้าในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ตัวเลขดังกล่าวสวนทางกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งได้ประเมินไว้ว่าการส่งออกอาจหดตัวลง 3.9% เมื่อเทียบรายปี โมฮัมมัด อูซีร์ มาฮีดิน หัวหน้าสำนักงานสถิติแห่งชาติแถลงว่า การขยายตัวในเดือนก.ค.เป็นไปในทิศทางเดียวกับการส่งออกต่อ (re-export) ที่เพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับยอดจัดส่งสินค้าหมวดเครื่องจักรกล ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์ม ตลอดจนอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ข้อมูลจากกรมสถิติและกระทรวงการค้าระบุว่า การส่งออกไปยังสิงคโปร์ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญ ได้พุ่งสูงขึ้นถึง 22.2% ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศจีนขยายตัว 6.8% ส่วนยอดจัดส่งไปยังสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 3.8% ในด้านการนำเข้า ปรากฏว่าในเดือนก.ค. ขยายตัว 0.6% จากปีก่อนหน้า สวนทางกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าอาจลดลง 2.9% อนึ่ง การนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวถึง 20.6% แต่การนำเข้าสินค้าขั้นกลางและสินค้าอุปโภคบริโภคกลับปรับตัวลง 17.8% และ 5% ตามลำดับ ด้วยเหตุดังกล่าว ส่งผลให้ในเดือนก.ค. มาเลเซียมียอดเกินดุลการค้าคิดเป็นมูลค่า 1.5 หมื่นล้านริงกิต (3.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าตัวเลขที่ผลสำรวจคาดการณ์ไว้ที่ 5.4 พันล้านริงกิต (อินโฟเควสท์)
      เกาหลีใต้ส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นสองเดือนติด รับดีมานด์ยุโรป-เอเชียแกร่ง กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้ เปิดเผยในวันนี้ (19 ส.ค.) ว่า มูลค่าการส่งออกรถยนต์เดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 8.8% แตะที่ระดับ 5.83 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเดือนที่สอง เนื่องจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากยุโรปและเอเชีย รายงานของกระทรวงระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกรถยนต์ของเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น มาจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์รถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนความแข็งแกร่งของอุปสงค์จากยุโรปและเอเชีย ซึ่งช่วยชดเชยอุปสงค์ในสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลงอันเป็นผลมาจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ทั้งนี้ การส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ลดลง 4.6% แตะที่ 2.33 พันล้านดอลลาร์ แต่การส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (EU) และเอเชีย พุ่งขึ้นในอัตราเลขสองหลัก ส่วนยอดส่งออกรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมพุ่งขึ้น 10.7% แตะที่ 2.05 พันล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รายงานของกระทรวงฯ ยังระบุด้วยว่า จำนวนรถยนต์ส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือนก.ค.อยู่ที่ 211,854 คัน เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบรายปี ส่วนการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ลดลง 7.2% แตะที่ 1.92 พันล้านดอลลาร์ สำหรับจำนวนรถยนต์ที่ผลิตในโรงงานภายในประเทศ เพิ่มขึ้น 8.7% แตะที่ 316,295 คันในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี ส่วนจำนวนรถยนต์ที่จำหน่ายภายในประเทศ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ อยู่ที่ 138,503 คันในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี (อินโฟเควสท์)
      แบงก์ชาติเกาหลีเตือนตลาดอสังหาฯ ยังไม่เสถียร ราคาที่อยู่อาศัยในโซลพุ่ง รี ชางยอง ผู้ว่าการธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) กล่าวในวันนี้ (19 ส.ค.) ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังอยู่ที่ราว 2% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะเริ่มชัดเจนขึ้นในเดือนต่อ ๆ ไป จากการใช้จ่ายเพิ่มเติมของรัฐบาลที่เพิ่งผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของเกาหลีใต้ยังไม่กลับสู่ภาวะที่มีเสถียรภาพอย่างเต็มที่ เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยในบางพื้นที่ของกรุงโซลยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราสูง โดยรีระบุเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนการประชุมทบทวนนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่านโยบายต่าง ๆ จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง รีระบุในคำปราศรัยที่เตรียมไว้สำหรับการประชุมรัฐสภาว่า ในบางพื้นที่ของกรุงโซล ราคาที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจำเป็นต้องติดตามว่า ทิศทางนี้จะมีเสถียรภาพหรือไม่ BOK มีกำหนดประชุมนโยบายการเงินครั้งถัดไปในวันที่ 28 ส.ค. หลังจากตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ในเดือนก.ค. โดยอ้างถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างมากจากมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
      เวียดนามทุ่ม 4.8 หมื่นล้านดอลล์พัฒนา 250 โปรเจกต์ หวังดัน GDP ปีนี้โตตามเป้า รัฐบาลเวียดนามกำลังดำเนินโครงการประมาณ 250 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ แถลงการณ์บนเว็บไซต์ของรัฐบาลเวียดนามระบุว่า รัฐบาลได้ให้เงินทุนแก่โครงการจำนวน 129 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนอีก 121 โครงการได้รับเงินทุนจากแหล่งอื่น ๆ รวมถึงบริษัทต่างชาติจำนวนหนึ่ง คิดเป็นมูลค่าราว 3.05 หมื่นล้านดอลลาร์ ตัวอย่างโครงการลงทุนที่สำคัญประกอบด้วย โครงการสร้างสะพาน Rach Mieu 2 บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง, โครงการสร้างศูนย์กลางการเงินระดับนานาชาติ Saigon Marina International Financial Center, โครงการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริษัทเวียดเทล (Viettel Group) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของประเทศ และโครงการสร้างศูนย์นิทรรศการและการประชุมแห่งชาติที่กรุงฮานอยโดยบริษัทวินกรุ๊ป (Vingroup JSC) ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนามระบุว่า การลงทุนดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนราว 13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เมื่อเดือนที่แล้ว นายกฯ เวียดนามได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อปรับโครงสร้างและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมกับตั้งเป้าการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 8.3%-8.5% ในปีนี้ (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐฯ-ชาติพันธมิตรจ่อให้หลักประกันความมั่นคงแก่ยูเครนตามมาตรา 5 ของนาโต สหรัฐฯ และบรรดาชาติพันธมิตรกำลังหาลู่ทางที่จะเสนอหลักประกันความมั่นคงแก่ประเทศยูเครน โดยเป็นหลักประกันอันมีลักษณะเดียวกันกับสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันตามมาตรา 5 แห่งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) และนับเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญ ซึ่งได้มีการหยิบยกขึ้นหารือ ณ ทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ (18 ส.ค.) ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ, ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน และเหล่าผู้นำชาติตะวันตก การหารือครั้งสำคัญนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่วันภายหลังการประชุมสุดยอดระหว่างปธน.ทรัมป์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ณ รัฐอะแลสกา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (15 ส.ค.) มาร์ก รุตเตอ เลขาธิการองค์การนาโตได้ออกมายืนยันว่า แม้ประเด็นการเข้าเป็นสมาชิกนาโตโดยสมบูรณ์จะยังไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นสู่โต๊ะเจรจา แต่หัวใจสำคัญของการหารือได้มุ่งไปที่การมอบ "หลักประกันความมั่นคงในแบบฉบับของมาตรา 5" ให้แก่ยูเครน ทั้งนี้ มาตรา 5 แห่งสนธิสัญญาก่อตั้งนาโตนั้นได้บัญญัติหลักการป้องกันร่วมกันไว้ กล่าวคือ หากชาติสมาชิกใดถูกรุกราน จะถือเสมือนว่าชาติสมาชิกทุกชาติถูกรุกรานพร้อมกัน ดังนั้น การมอบคำมั่นสัญญาแบบเดียวกันนี้แก่ยูเครนย่อมถือเป็นก้าวสำคัญในการพิทักษ์ความมั่นคงของชาติ ซึ่งถูกรัสเซียใช้กำลังเข้ารุกรานเมื่อปี 2565 แม้รุตเตอจะยืนยันถึงการเจรจาด้านความมั่นคง แต่ก็ได้เน้นย้ำว่า ไม่มีการหารือถึงเรื่องการส่งทหารของฝ่ายพันธมิตรเข้าไปเหยียบดินแดนยูเครนแต่ประการใด (อินโฟเควสท์)
      นายกฯ เยอรมนีเผย "ปูติน-เซเลนสกี" เตรียมพบกันภายใน 2 สัปดาห์ ฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เปิดเผยในวันจันทร์ (18 ส.ค.) ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย และประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน น่าจะพบกันภายในเวลา 2 สัปดาห์ข้างหน้า สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายกฯ เยอรมนีมีถ้อยแถลงดังกล่าวระหว่างการแถลงข่าวหลังจากเข้าร่วมการประชุมพหุภาคีที่ทำเนียบขาว ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประชุมร่วมกับเซเลนสกีและผู้นำยุโรปคนอื่น ๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับวิกฤตยูเครน นายกฯ เยอรมนีโพสต์ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X ว่า การประชุมดังกล่าวเป็นไปด้วยดี แต่เตือนว่าขั้นตอนต่อไปจะมีความซับซ้อนมากขึ้น พร้อมกับเรียกร้องให้มีการกดดันรัสเซีย และเน้นย้ำว่า "ต้องมีการหยุดยิงก่อนการเจรจาเพิ่มเติม" แมร์ซกล่าวว่า เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าจะมีการเจรจารอบใหม่โดยไม่มีการหยุดยิงได้อย่างไร และเน้นย้ำว่าจำเป็นต้องมีการหยุดยิงก่อนจึงจะเริ่มการเจรจาอย่างจริงจังได้ อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์กลับย้ำหลายครั้งว่า การหยุดยิงไม่จำเป็นต่อการแก้ไขวิกฤต โดยล่าสุดได้โพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social เมื่อวันเสาร์ (16 ส.ค.) ว่า "ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า วิธีที่ดีที่สุดในการยุติสงครามอันเลวร้ายระหว่างรัสเซียกับยูเครนคือการทำข้อตกลงสันติภาพโดยตรง ซึ่งจะยุติสงครามได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การทำข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งบ่อยครั้งไม่มีความยั่งยืนในระยะยาว" (อินโฟเควสท์)
      ยูเครนโวยรัสเซียไม่ต้องการสันติภาพ หลังรุกหนักถล่มโปลตาวา วิทาลี มาเลตสกี นายกเทศมนตรีเมืองเครเมนชุก (Kremenchuk) ในภาคกลางของยูเครนระบุผ่านเทเลแกรมว่า การโจมตีด้วยระเบิดของรัสเซียในช่วงข้ามคืนที่เมืองเครเมนชุกหลายสิบครั้ง และทำให้ประชาชนหลายร้อยชีวิตในภูมิภาคโปลตาวาไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียไม่ได้ต้องการสันติภาพ มาเลตสกีระบุว่า "ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ปูตินยืนยันกับทรัมป์ผ่านทางโทรศัพท์ว่า เขาแสวงหาสันติภาพ และตอนที่ปธน.โวโลดิเมียร์ เซเลนสกีกำลังหารือกับทำเนียบขาวและเหล่าผู้นำยุโรปเกี่ยวกับสันติภาพ กองทัพของปูตินก็ยังคงเปิดฉากโจมตีชุดใหญ่ใส่เมืองเครเมนชุก... เป็นอีกครั้งที่โลกได้เห็นว่า ปูตินไม่ต้องการสันติภาพ เขาต้องการทำลายยูเครน" ทั้งนี้ ขนาดของการโจมตียังคงไม่แน่ชัด โดยกองทัพอากาศยูเครนแถลงเมื่อคืนวานนี้ว่า ภาคกลางของยูเครนกำลังถูกคุกคามจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธร่อน โวโลดิมีร์ โคฮุต ผู้ว่าการแคว้นโปลตาวากล่าวว่า การโจมตีดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับอาคารบริหารของผู้ปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในท้องถิ่น แต่เคราะห์ดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม เขตลุบนีซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่เกือบ 1,500 รายและธุรกิจต่าง ๆ ราว 119 รายนั้น ไม่มีไฟฟ้าใช้ ส่วนรัสเซียระบุในวันนี้ (19 ส.ค.) ว่า การโจมตีด้วยโดรนของยูเครนเมื่อคืนนี้ทำให้เกิดไฟไหม้ที่โรงกลั่นน้ำมัน และหลังคาโรงพยาบาลในแคว้นโวลโกกราด (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" พูดชัด! พร้อมช่วยยูเครนสู้รบทางอากาศ แต่จะไม่ส่งทหารบุกภาคพื้นดิน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐจะช่วยปกป้องยูเครนหลังสิ้นสุดสงครามกับรัสเซีย แต่สหรัฐจะไม่ส่งทหารเข้าสู้รบภาคพื้นดินในยูเครน "เมื่อพูดถึงเรื่องความมั่นคง พวกเขา (ชาติพันธมิตรในยุโรป) พร้อมที่จะส่งทหารทำการต่อสู้ในภาคพื้นดิน ส่วนเราก็พร้อมที่จะช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะจากทางอากาศ เพราะไม่มีใครที่มีศักยภาพแบบที่เรามี" ปธน.ทรัมป์กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Fox News ปธน.ทรัมป์กล่าววานนี้ว่า สหรัฐจะมีส่วนร่วมในการให้หลักประกันด้านความมั่นคงแก่ยูเครนหลังสงครามกับรัสเซีย แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม (อินโฟเควสท์)
      "ทรัมป์" แนะ "เซเลนสกี" แสดงความยืดหยุ่นในการเจรจายุติสงครามยูเครน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ต้องแสดงความยืดหยุ่นในการเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครน "ผมหวังว่าประธานาธิบดีเซเลนสกีจะทำในสิ่งที่เขาต้องทำ และเขาต้องแสดงความยืดหยุ่นบ้างเช่นกัน" ปธน.ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Fox News ต่อคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการประชุมระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กับปธน.เซเลนสกี และโอกาสที่เขาอาจเข้าร่วมด้วย ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาต้องการให้ผู้นำทั้งสองพบกันก่อน นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์แสดงความหวังว่า รัสเซียจะมีท่าทีในเชิงบวกต่อการเจรจา โดยชี้ว่าหากไม่เป็นเช่นนั้น สถานการณ์จะกลายเป็นเรื่องยากลำบาก (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex พุ่งกว่า 300 จุด บวก 4 ติด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้นกว่า 300 จุด ปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน ขานรับแผนปฏิรูปภาษีของรัฐบาลอินเดีย รวมทั้งความคืบหน้าในการเจรจายุติสงครามในยูเครน ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,644.39 บวก 370.64 จุด หรือ 0.46% หุ้นกลุ่มยานยนต์พุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ (อินโฟเควสท์)  
      ไทย
      ธปท. เผยสินเชื่อระบบแบงก์พาณิชย์ Q2/68 หดตัว ชะลอลงเหลือ 0.9% NPL ทรงตัว 2.91% น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 2 ปี 2568 โดยรวมยังหดตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลงมาอยู่ที่ -0.9% จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อ NPL ไตรมาส 2 ปี 2568 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 554.9 พันล้านบาท โดยหลักจากสินเชื่อธุรกิจ ขณะที่ปริมาณ NPL ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคปรับลดลงทุกประเภท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม ทรงตัวอยู่ที่ 2.91% สำหรับสินเชื่อ Stage 2 ปรับลดลงในเกือบทุกพอร์ต โดยหลักเป็นการจัดชั้นดีขึ้นของลูกหนี้ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 ลดลงอยู่ที่ 6.88% อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริหารจัดการคุณภาพหนี้ สำหรับผลการดำเนินงาน ปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยหลักจากรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองปรับเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบนโยบายการค้าโลก ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ปรับลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและปริมาณสินเชื่อที่ลดลง รวมทั้งจากมาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" ที่มีการลดดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้ พร้อมระบุว่า ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัว และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ และครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้า และมีภาระหนี้สูง รวมถึงธุรกิจ และครัวเรือนที่อาจได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมต่อฐานะการเงิน จากผลกระทบมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนติดตามผลสำเร็จของการให้ความช่วยเหลือภายใต้โครงการคุณสู้เราช่วย โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือน ไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 87.4% ต่อ GDP ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า (ไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 88.4%) จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลงเป็นสำคัญ ขณะที่ภาคธุรกิจ มีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ลดลงตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ (อินโฟเควสท์)
      สบน. เคาะ 3 บริษัทเอกชนวางระบบขาย G-Token ให้คลังปีงบ 68-69 นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอแจ้งว่า ตามที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลของกระทรวงการคลัง (ICO Portal) เพื่อดำเนินการออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัลของกระทรวงการคลัง (G-Token) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2569 นั้น สบน. ขอประกาศผลการคัดเลือกผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 - 2569 ดังนี้ 1) บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (TokenX) 2) บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด (Xspring) 3) บริษัท คิวบิกซ์ ดิจิทัล แอสเสท จำกัด (Kubix) ทั้งนี้ สบน. ขอขอบคุณผู้ที่ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็น ICO Portal ในครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการตอบรับ การสนับสนุน และความร่วมมือจากท่านในการออกและเสนอขาย G-Token ครั้งนี้และครั้งต่อ ๆ ไป เพื่อให้การดำเนินการออกและเสนอขาย G-Token เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และขับเคลื่อนประเทศไทยให้เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลต่อไปในอนาคต (อินโฟเควสท์)
      ครม.ไฟเขียว ร่าง พ.ร.บ.สถาบันค้ำประกันเครดิตฯ "เผ่าภูมิ" เชื่อผ่านสภาฯ ทันใช้รัฐบาลนี้ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ พ.ศ. … เพื่อก่อตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) ให้เป็นกลไกสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME โดย NaCGA ในอยู่ในฐานะหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จะทำหน้าที่ในการประเมินความเสี่ยง และค้ำประกันเครดิตให้กับประชาชนที่ขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และนอนแบงก์ โดยกลไกการทำงานของ NaCGA ประกอบด้วย 1. ผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อติดต่อ NaCGA เพื่อให้พิจารณาค้ำประกันเครดิตให้กับตัวเอง ก่อนไปยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน 2. NaCGA จะเป็นผู้ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบการ ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงรายบุคคล การค้ำประกันตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) โดยใช้ฐานข้อมูลและแบบจำลองความเสี่ยงด้านเครดิตที่ NaCGA จัดทำขึ้นจากข้อมูลทางการเงิน และข้อมูลทางเลือก 3. NaCGA จะออกใบค้ำประกันเครดิตให้กับผู้ขอสินเชื่อ โดยผู้ขอสินเชื่อจ่ายค่าธรรมเนียมตามความเสี่ยงของตัวเอง 4. ผู้ขอสินเชื่อนำใบค้ำประกันเครดิตที่ได้ไปยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน 5. สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ขอสินเชื่อ เนื่องจากผู้ขอสินเชื่อมี NaCGA เป็นผู้รับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตแทนบางส่วน หรือทั้งหมดแล้ว 6. หากผู้ขอสินเชื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้ NaCGA จะเป็นผู้รับความเสี่ยงกับสถาบันการเงินตามเงื่อนไข ส่วนแหล่งทุนของ NaCGA ประกอบด้วย 1. เงินอุดหนุนจากรัฐบาล 2. ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากผู้ประกอบการ และ 3. เงินสมทบจากธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนตามเงื่อนไข ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐเพียงอย่างเดียว สำหรับการบริหารจัดการของ NaCGA จะบริหารโดย 2 บอร์ดควบคู่กันไป คือ บอร์ดกำหนดนโยบาย และบอร์ดขับเคลื่อน โดยมี บสย. เป็นแกนกลาง ซึ่งจะใช้เวลา 1-5 ปี ในการควบรวมองค์กร ส่วนกลไกการทำงานของ บสย. ผ่านโครงการ PGS จะไม่ได้หายไป แต่จะทำงานควบคู่กัน (อินโฟเควสท์)
      ครม. อนุมัติงบกว่า 61,000 ลบ. รักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกนาปี 68/69 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบและอนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ วงเงินรวมทั้งสิ้น 61,697 ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินสินเชื่อ 51,232 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 10,464 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ ดังนี้ 1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 45,398 ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินสินเชื่อ 36,232 ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด 9,166 ล้านบาท จำแนกวงเงินจ่ายขาดเป็น (1) ค่าฝากเก็บ 4,500 ล้านบาท (2) วงเงินชดเชย 2,130 ล้านบาท และ (3) กรณีมีการระบายข้าวโครงการฯ รัฐจ่ายคืนและชดเชยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน 2,536 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. และ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป 2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 15,656 ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 656 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. และ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป 3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2568/69 วงเงินรวมทั้งสิ้น 642 ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ให้กรมการค้าภายใน เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 6.55 จุด ตลาดพักตัว รับแรงขายหุ้นใหญ่กดดัน รอความชัดเจนการเมืองในปท.-ท่าทีเฟด SET ปิดวันนี้ที่ 1,235.76 จุด ลดลง 6.55 จุด (-0.53%) มูลค่าซื้อขาย 39,590.96 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในกรอบ แต่ยังเป็นการพักตัว โดยที่มีแรงขายหุ้นใหญ่กดดัน โดยเฉพาะหุ้น THAI ที่ค่อนข้างทำให้ดัชนีมีความผันผวน และเป็นแรงกดดันดัชนีช่วงท้ายตลาด อีกทั้งยังรอปัจจัยใหม่ โดยเฉพาะปัจจัยการเมืองในประเทศ และถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ Jackson Hole ในปลายสัปดาห์นี้ แนวโน้มพรุ่งนี้คาดแกว่งไซด์เวย์ พร้อมให้แนวต้าน 1,250 จุด แนวรับ 1,230 จุด การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยดัชนีปิดที่จุดต่ำสุดของวันนี้ 1,235.76 จุด และทำจุดสูงสุดที่ 1,248.40 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 198 หลักทรัพย์ ลดลง 269 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 172 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.50/51 แกว่งแคบจากช่วงเช้า ตลาดไร้ปัจจัยใหม่หนุนทิศทาง นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 32.50/51 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดช่วงเช้าที่อยู่ที่ระดับ 32.51/54 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.48 - 32.54 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ เงินบาทยังไร้ปัจจัยใหม่ เคลื่อนไหวทิศทางเดียวกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค สำหรับคืนนี้ยังไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม นักบริหารเงิน ประเมินกรอบเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.30 - 32.60 บาท/ดอลลาร์  (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 172,551 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 172,551 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 65,690 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 2,411 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 1,010 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.16% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน (อินโฟเควสท์)  
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      • ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนก.ค. ญี่ปุ่น
      • ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่น
      • ธนาคารกลางจีนประกาศอัตราดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี (LPR) จีน
      • ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค. เยอรมนี
      • อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค. อังกฤษ 
      • อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค. ยุโรป
      • สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐฯ
      • คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) สหรัฐฯ

       

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      24
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      23
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      22
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.