• X
  • Search
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu Guide
        • NAV
        • Fund Search
        • Highlighted Funds
        • Top Performance Fund
        • Dividend
        • Fund Holidays
        • News/Research
        • Asset Allocation Strategy
        • Documents and Forms
        • Promotions
        • Fund Information
        • Compare Funds
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • HOME
      • ABOUT KTAM
      • MUTUAL FUNDS
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • PROVIDENT FUNDS
      • PRIVATE FUNDS
      • INFRASTRUCTURE / REIT / PROPERTY FUNDS
      1. Home
      2. KTAM Daily News
      3. สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน

      สหรัฐฯ
      สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลง แม้ดอกเบี้ยเงินกู้ปรับตัวลง สมาคมธนาคารเพื่อการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยลดลง 1.2% ในสัปดาห์ที่แล้ว แม้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองปรับตัวลง ทั้งนี้ จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง 3% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนจำนวนผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์เพิ่มขึ้น 1% ในสัปดาห์ที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยเพื่อที่อยู่อาศัยแบบคงที่ระยะเวลา 30 ปี สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 806,500 ดอลลาร์ ปรับตัวลงสู่ระดับ 6.64% จากระดับ 6.69% ในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐเผยตัวเลขเปิดรับสมัครงานต่ำกว่าคาดในเดือนก.ค. สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 170,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.18 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.38 ล้านตำแหน่ง ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานได้รับผลกระทบจากนโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจเกิดความลังเลในการจ้างงาน ทั้งนี้ ตัวเลข JOLTS นับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด (อินโฟเควสท์)
      สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานลดลง 1.3% ในเดือนก.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐลดลง 1.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.4% หลังจากลดลง 4.8% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี คำสั่งซื้อภาคโรงงานเพิ่มขึ้น 3.5% ในเดือนก.ค. คำสั่งซื้อภาคโรงงานได้รับผลกระทบจากการลดลงของคำสั่งซื้อเครื่องบิน ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน เพิ่มขึ้น 1.1% ในเดือนก.ค. โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวถือเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่น และแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ (อินโฟเควสท์)
      "วอลเลอร์" หนุนเฟดเริ่มวงจรดอกเบี้ยขาลงในการประชุมเดือนนี้ นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และเป็นสมาชิกถาวรของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) กล่าวว่า เขาสนับสนุนให้เฟดเริ่มวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ พร้อมย้ำว่าเฟดมีความยืดหยุ่นที่จะปรับอัตราการปรับลดดอกเบี้ยได้ตามสถานการณ์ในอนาคต "ในขณะที่ตลาดแรงงานเริ่มแย่ มันจะแย่อย่างรวดเร็ว ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่จะถึงนี้ โดยเราสามารถปรับอัตราดอกเบี้ยตามสถานการณ์ และผมไม่กังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อจากการเรียกเก็บภาษีศุลกากร" นายวอลเลอร์กล่าวต่อสำนักข่าว CNBC สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า นายวอลเลอร์เป็นผู้ที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานเฟดคนใหม่ แทนนายเจอโรม พาวเวล ซึ่งจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดในเดือนพ.ค.2569 นอกจากนี้ นายวอลเลอร์ยังเป็นหนึ่งในสองผู้ว่าการเฟดที่ได้ลงมติสนับสนุนให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 ก.ค. แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมดังกล่าว นายวอลเลอร์เชื่อว่าเฟดควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยมองว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังคงอยู่เหนือระดับที่เป็นกลางราว 1.0-1.5% (อินโฟเควสท์)
      หน่วยงานกำกับตลาดสหรัฐฯ เข็นโครงการร่วมกำหนดแนวทางธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) และคณะกรรมาธิการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าสหรัฐฯ (CFTC) ประกาศเมื่อวันอังคาร (2 ก.ย.) ในการเปิดตัวโครงการริเริ่มร่วมกันเพื่อประสานความพยายามในด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งสองหน่วยงานระบุในแถลงการณ์ว่า CFTC และ SEC จะร่วมมือกันออกแนวทางเกี่ยวกับการจดทะเบียนธุรกรรมสินค้าโภคภัณฑ์แบบสปอตสำหรับรายย่อยที่มีการกู้ยืม, การซื้อขายด้วยมาร์จิน หรือการจัดหาเงินทุนที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล CFTC เปิดเผยเมื่อต้นเดือนส.ค.ว่า กำลังเตรียมเปิดตัวโครงการเพื่ออนุญาตให้มีการซื้อขายสัญญาสปอตสินทรัพย์ดิจิทัลที่จดทะเบียนในตลาดซื้อขายล่วงหน้าซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ CFTC แม้ยังไม่มีข้อสรุปสุดท้าย แต่ความเคลื่อนไหวนี้นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ในการผสานสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ากับระบบการเงินดั้งเดิมมากยิ่งขึ้น และอาจปูทางไปสู่การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในวงกว้าง แคโรไลน์ แฟม รักษาการประธาน CFTC ระบุว่า CFTC ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลตลาดตราสารอนุพันธ์ของสหรัฐฯ จะเปิดทางให้มีการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ โดยเป็นความร่วมมือกับโครงการ Project Crypto ของ SEC (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบเล็กน้อย แต่ Nasdaq บวกรับหุ้น Alphabet พุ่ง ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันพุธ (3 ก.ย.) แต่ดัชนี Nasdaq พุ่งกว่า 1% และ S&P500 ปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากหุ้นอัลฟาเบท (Alphabet) รวมทั้งความหวังที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,271.23 จุด ลดลง 24.58 จุด หรือ -0.05%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,448.26 จุด เพิ่มขึ้น 32.72 จุด หรือ +0.51% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,497.73 จุด เพิ่มขึ้น 218.10 จุด หรือ +1.02% ศาลสหรัฐฯ มีคำตัดสินครั้งสำคัญในคดีต่อต้านการผูกขาด โดยอนุญาตให้กูเกิล (Google) ไม่ต้องขายธุรกิจเบราว์เซอร์ Chrome และสามารถจ่ายเงินให้บริษัทแอปเปิ้ล (Apple) ต่อไปได้ตามข้อตกลงเดิม แต่มีคำสั่งให้ต้องแชร์ข้อมูลการค้นหาแก่บริษัทคู่แข่ง เพื่อส่งเสริมการแข่งขันในตลาดเสิร์ชออนไลน์ นอกจากนี้ ศาลยังอนุญาตให้กูเกิลสามารถเก็บรักษาระบบปฏิบัติการ Android ไว้ได้ ซึ่งทั้ง Chrome และ Android ถือเป็นหัวใจสำคัญในธุรกิจโฆษณาออนไลน์ที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับกูเกิล (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดร่วง $1.62 กังวลโอเปกพลัสเพิ่มผลิตน้ำมัน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันพุธ (3 ก.ย.) หลุดจากระดับ 64 ดอลลาร์ ท่ามกลางความวิตกกังวลว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส อาจตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมวันอาทิตย์นี้ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.62 ดอลลาร์ หรือ 2.47% ปิดที่ 63.97 ดอลลาร์ /บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.54 ดอลลาร์ หรือ 2.23% ปิดที่ 67.60 ดอลลาร์/บาร์เรล สมาชิก 8 ชาติของกลุ่มโอเปกพลัส จะจัดการประชุมผ่านระบบออนไลน์ในวันอาทิตย์ที่ 7 ก.ย. เพื่อพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันสำหรับเดือนต.ค. แหล่งข่าวจากกลุ่มโอเปกพลัสเปิดเผยว่า โอเปกพลัสอาจพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมวันอาทิตย์นี้ เพื่อชิงส่วนแบ่งในตลาดน้ำมัน หลังจากที่โอเปกพลัสมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 547,000 บาร์เรล/วันสำหรับเดือนก.ย. ในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนค่า หลังข้อมูลแรงงานซบหนุนคาดเฟดหั่นดอกเบี้ย สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (3 ก.ย.) หลังการเปิดเผยข้อมูลแรงงานล่าสุดของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.24% แตะที่ระดับ 98.142 ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 147.97 เยน จากระดับ 148.28 เยนในวันอังคาร (2 ก.ย.) แต่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8040 ฟรังก์ จากระดับ 0.8038 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3797 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3780 ดอลลาร์แคนาดา ส่วนยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1662 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1645 ดอลลาร์ในวันอังคาร และเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3442 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3386 ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $43.30 ทำนิวไฮอีก รับแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่วันพุธ (3 ก.ย.) หลังการเปิดเผยข้อมูลแรงงานล่าสุดของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนมีความหวังมากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรและความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของเฟด ยังคงเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 43.30 ดอลลาร์ หรือ 1.21% ปิดที่ 3,635.50 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)  
      บอนด์ยีลด์ 30 ปีพุ่งทะลุ 5% กังวลภาษีทรัมป์/เฟดถูกแทรกแซง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีพุ่งขึ้นทะลุระดับ 5% ก่อนปรับตัวลงในเวลาต่อมา ท่ามกลางความวิตกที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บไปแล้วจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์แก่ประเทศคู่ค้า ซึ่งจะซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลว่า ความพยายามของปธน.ทรัมป์ในการเข้าควบคุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลดลง แต่จะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจในความน่าเชื่อถือของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ ณ เวลา 19.37 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.275% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 4.964% (อินโฟเควสท์)
      ยุโรป
      ภาคบริการยูโรโซนแผ่ว ฉุด PMI รวมเดือนส.ค.โตช้า เศรษฐกิจยูโรโซนในเดือนส.ค. ยังคงขยายตัวในอัตราที่เชื่องช้า โดยภาพรวมถูกฉุดรั้งจากภาคบริการที่อ่อนกำลังลงอย่างชัดเจน แม้ภาคการผลิตจะส่งสัญญาณฟื้นตัวแข็งแกร่งที่สุดในรอบหลายปีก็ตาม ผลสำรวจของ S&P Global ที่เผยแพร่ในวันนี้ (3 ก.ย.) ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ขยับขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 51.0 ในเดือนส.ค. จาก 50.9 ในเดือนก.ค. ซึ่งแม้จะเป็นระดับสูงสุดในรอบ 12 เดือน แต่ยังสะท้อนการเติบโตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภาคการผลิตมีผลผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีครึ่ง แต่กลับถูกบดบังโดยภาคบริการซึ่งเป็นภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจ ที่การเติบโตชะลอตัวลงจนเกือบจะหยุดนิ่ง โดยดัชนี PMI ภาคบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซนลดลงสู่ระดับ 50.5 ในเดือนส.ค. จาก 51.0 ในเดือนก.ค. เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ยอดสั่งซื้อใหม่โดยรวมพลิกกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. ปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ในยูโรโซนที่ช่วยพยุงไว้ แต่ยอดคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกยังคงน่าเป็นห่วง โดยหดตัวลงในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. ในด้านการจ้างงาน ภาพรวมขยายตัวในอัตราสูงสุดรอบ 14 เดือน โดยบริษัทในภาคบริการยังคงจ้างคนเพิ่ม แต่ภาคโรงงานยังคงปลดคนงานอย่างต่อเนื่อง (อินโฟเควสท์)
      PMI ภาคบริการเยอรมนีกลับมาหดตัวในเดือนส.ค. หลังยอดธุรกิจใหม่ซบเซา ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของเยอรมนีโดย HCOB ประจำเดือนส.ค. ปรับตัวลงสู่ระดับ 49.3 จาก 50.6 ในเดือนก.ค. ซึ่งการที่ดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการได้กลับเข้าสู่ภาวะหดตัวอีกครั้ง โดยมีสาเหตุหลักจากยอดธุรกิจใหม่ที่ซบเซาลง ผลสำรวจที่เผยแพร่ในวันนี้ (3 ก.ย.) ระบุว่า การหดตัวครั้งนี้เป็นผลมาจากปริมาณงานใหม่ที่ลดลง การจ้างงานที่หยุดชะงัก ประกอบกับอุปสงค์ที่เปราะบางและความไม่แน่นอนของลูกค้า อย่างไรก็ดี ไซรัส เดอ ลา รูเบีย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของฮัมบูร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (HCOB) ชี้ว่า แม้กิจกรรมชะลอตัว แต่บริษัทต่าง ๆ ยังสามารถปรับขึ้นราคาได้ในอัตราที่สูงกว่าเดือนก่อนหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนว่าสถานการณ์โดยรวมยังไม่ถึงขั้นวิกฤต สำหรับแนวโน้มในอนาคตนั้น ภาคธุรกิจยังคงมีมุมมองเชิงบวก โดยบริษัทที่ตอบแบบสำรวจราว 30% คาดว่า ธุรกิจจะเติบโตขึ้นในปีหน้าจากปัจจัยหนุนด้านผลิตภัณฑ์ใหม่และการลงทุน ทว่าในอีกด้านหนึ่ง ผลสำรวจก็ชี้ให้เห็นถึงยอดธุรกิจส่งออกใหม่ที่ลดลงจากอุปสงค์ในตลาดยุโรปที่อ่อนแอลง ขณะที่การจ้างงานอยู่ในภาวะชะงักงัน หลังจากขยายตัวต่อเนื่องมา 7 เดือน ส่วนดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของเยอรมนี ยังคงทรงตัวอยู่ที่ 50.5 ในเดือนส.ค. ซึ่งสะท้อนว่ากิจกรรมทางธุรกิจโดยรวมของเยอรมนียังขยายตัวได้เล็กน้อย (อินโฟเควสท์)
      PMI ภาคบริการ UK เดือนส.ค.ดีดตัวแรงสุดรอบ 16 เดือน หลังออร์เดอร์ใหม่ทะลัก ผลสำรวจจาก S&P Global ที่เผยแพร่ในวันนี้ (3 ก.ย.) ระบุว่า ยอดธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ช่วยให้ภาคบริการของสหราชอาณาจักร (UK) เติบโตในอัตราสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งปีในเดือนส.ค. หลังจากความกังวลเรื่องกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทต่าง ๆ ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับโอกาสที่จะมีการปรับขึ้นภาษีภายในประเทศ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของ UK ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567 ที่ 54.2 ในเดือนส.ค. จาก 51.8 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ 53.6 ด้านดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของ UK ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ 53.5 ในเดือนส.ค. จากระดับ 51.5 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ 53.0 สำหรับปัจจัยบวกที่สำคัญคือ ดัชนีธุรกิจใหม่ในภาคบริการที่ขยายตัวในเดือนเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2564 สะท้อนถึงอุปสงค์ผู้บริโภคที่แข็งแกร่งขึ้นและการส่งออกที่กลับมาเติบโตเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ขณะเดียวกัน ความคาดหวังต่อปริมาณธุรกิจในอนาคตก็ปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงและความกังวลเรื่องกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่คลี่คลายลง (อินโฟเควสท์)
      PMI ภาคบริการฝรั่งเศสเดือนส.ค.ขยับใกล้พ้นโซนหดตัว แตะไฮในรอบปี ภาคบริการของฝรั่งเศสส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนในเดือนส.ค. หลังจากกิจกรรมทางธุรกิจหดตัวในอัตราที่ชะลอลงมากจนเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ ผลสำรวจโดย S&P Global ที่เผยแพร่ในวันนี้ (3 ก.ย.) ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของฝรั่งเศสจาก HCOB ขยับขึ้นแตะระดับ 49.8 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหนึ่งปี จากระดับ 48.5 ในเดือนก.ค. ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว ขณะเดียวกัน ภาคบริการยังมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในอัตราเร็วที่สุดในรอบ 15 เดือน ถือเป็นการสิ้นสุดภาวะการลดพนักงานที่ดำเนินมา 8 เดือนติดต่อกัน ด้านดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของฝรั่งเศสก็ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 49.8 ในเดือนส.ค. จากระดับ 48.6 ในเดือนก.ค. (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก หลังแรงขายพันธบัตรแผ่วลง ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพุธ (3 ก.ย.) โดยฟื้นตัวขึ้น หลังจากแรงขายพันธบัตรระยะยาวกดดันบรรยากาศการลงทุนเมื่อวันอังคาร ขณะที่นักลงทุนกลับมาประเมินปัญหาด้านการคลังของประเทศต่าง ๆ อีกครั้ง ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 546.78 จุด เพิ่มขึ้น 3.61 จุด หรือ +0.66% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,719.71 จุด เพิ่มขึ้น 65.46 จุด หรือ +0.86%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,594.80 จุด เพิ่มขึ้น 107.47 จุด หรือ +0.46% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,177.99 จุด เพิ่มขึ้น 61.30 จุด หรือ +0.67% ตลาดได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ เช่น Roche Holdings และ AstraZeneca ขณะที่กลุ่มทรัพยากรพื้นฐานก็ช่วยหนุนตลาดเช่นกัน โดยปิดบวก 1.5% เนื่องจากราคาทองแดงพุ่งขึ้น หลังตลาดคาดการณ์มากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดดอกเบี้ยภายในเดือนนี้ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 61.30 จุด กลุ่มแบงก์-เฮลท์แคร์หนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพุธ (3 ก.ย.) โดยฟื้นตัวขึ้น หลังจากเผชิญกับการร่วงลงรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 5 เดือน เนื่องจากนักลงทุนกังวลต่อสถานะการคลังของอังกฤษ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ 9,177.99 จุด เพิ่มขึ้น 61.30 จุด หรือ +0.67% เมื่อวันอังคาร ตลาดหุ้นร่วงลงจากแรงกดดันของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (gilts) ที่พุ่งขึ้น ท่ามกลางความกังวลว่า สหราชอาณาจักรจะสามารถควบคุมด้านการคลังได้หรือไม่ โดยผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2541 (อินโฟเควสท์)   
      ญี่ปุ่น
      PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนส.ค.ชะลอขยายตัว แม้ดีมานด์ในประเทศยังแกร่ง ผลสำรวจจาก S&P Global ที่เผยแพร่ในวันนี้ (3 ก.ย.) บ่งชี้ว่า ภาคบริการของญี่ปุ่นในเดือนส.ค. ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง แม้ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง แต่ก็เผชิญแรงฉุดจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่หดตัวรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 3 ปี ขณะเดียวกัน ผลสำรวจยังพบการลดระดับการจ้างงานเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นในเดือนส.ค. ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 53.1 จาก 53.6 ในเดือนก.ค. แม้ตัวเลขดังกล่าวจะสูงกว่าประมาณการเบื้องต้นที่ 52.7 แต่ยังคงเป็นการขยายตัวในอัตราที่ช้ากว่าเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว แอนนาเบล ฟิดเดส รองผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์แห่ง S&P Global Market Intelligence ให้ความเห็นว่า โมเมนตัมการเติบโตของภาคบริการญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่งในเดือนส.ค. แต่ข้อมูลชี้ชัดว่าการเติบโตนี้มีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกปรับตัวลดลงอีกครั้ง ทั้งนี้ การจ้างงานในภาคบริการปรับตัวลงเล็กน้อยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2566 โดยบริษัทต่าง ๆ ให้เหตุผลเรื่องการลาออกของพนักงาน การลดลงของพนักงานสวนทางกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณงานค้างสะสมพุ่งขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ขณะเดียวกัน ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวจากระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน แต่แรงกดดันจากการแข่งขันทำให้บริษัทต่าง ๆ ไม่สามารถผลักภาระไปยังผู้บริโภคได้เต็มที่นัก ซึ่งบีบให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลง (อินโฟเควสท์)
      ผู้ว่า BOJ พบนายกฯ ญี่ปุ่น หารือประเด็นค่าเงิน หลังความเห็นรองผู้ว่าทุบเยนอ่อน คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยในวันนี้ (3 ก.ย.) ว่า เขาได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ เพื่อหารือกันเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ซึ่งรวมถึงประเด็นค่าเงิน หลังจากสกุลเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า BOJ ยังคงใช้ความระมัดระวังเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังเสร็จสิ้นการพบปะกับอิชิบะที่สำนักนายกรัฐมนตรี อุเอดะกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เป็นเรื่องเหมาะสมที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจะเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นการสะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ผู้ว่าการ BOJ ยังกล่าวด้วยว่า เขาได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและพัฒนาการของตลาด แต่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม ส่วนในเรื่องนโยบายการเงินนั้น อุเอดะกล่าวว่า BOJ ยังคงรักษาจุดยืนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและราคา การประชุมระหว่างอุเอดะกับนายกรัฐมนตรีอิชิบะ มีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่เงินเยนอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 148 เยนต่อดอลลาร์ ภายหลังจากที่การแสดงความเห็นของเรียวโซ ฮิมิโนะ รองผู้ว่าการ BOJ ถูกตลาดตีความว่า BOJ ใช้ความระมัดระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ฮิมิโนะกล่าวในการประชุมซึ่งจัดขึ้นที่เมืองคุชิโระ จังหวัดฮอกไกโดเมื่อวานนี้ (2 ก.ย.) ว่า การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฟื้นตัวถือเป็นเรื่องที่ "เหมาะสม" แต่ก็เตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 371.60 จุด พิษการเมืองป่วน-เก้าอี้ "อิชิบะ" สั่นคลอน ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบในวันนี้ (3 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ กรณีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำในพรรครัฐบาล สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 41,938.89 จุด ลดลง 371.60 จุด หรือ -0.88% หุ้นที่ปรับตัวลงวันนี้นำโดยกลุ่มธนาคาร กลุ่มประกันภัย และกลุ่มขนส่งทางทะเล (อินโฟเควสท์)  
      จีน
      ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 44.58 จุด หวั่นภูมิรัฐศาสตร์ตึงเครียด ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันนี้ (3 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร ขณะเดียวกันก็วิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,813.56 จุด ลดลง 44.58 จุด หรือ 1.16% บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นจีนได้รับแรงกดดัน หลังจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เตือนในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสวนสนามในวันนี้ว่า โลกกำลังเผชิญกับทางเลือกระหว่าง "สันติภาพหรือสงคราม" และ "การเจรจาหรือการเผชิญหน้า" (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 153.12 จุด ผิดหวังภาคการผลิตสหรัฐฯซบ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (3 ก.ย.) หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะหดตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,343.43 จุด ลดลง 153.12 จุด หรือ -0.60% หุ้น Henderson Land ร่วงลง 3.7%, หุ้น Swire Properties ลดลง 3.2% และหุ้น BYD Co. ลบ 2.5% (อินโฟเควสท์)  
      เอเชีย และอื่นๆ
      PMI ภาคบริการอินเดียส.ค. โตทุบสถิติ 15 ปี แต่เจอเงินเฟ้อพุ่งแรงสุดในรอบทศวรรษ ภาคบริการของอินเดียในเดือนส.ค. ขยายตัวอย่างร้อนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี ผลสำรวจทางธุรกิจของ S&P Global ที่เผยแพร่ในวันนี้ (3 ก.ย.) ชี้ว่า ความต้องการที่พุ่งสูงนี้ได้ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการถีบตัวสูงขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่าทศวรรษเช่นกัน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของอินเดีย ซึ่งจัดทำโดย S&P Global ให้กับธนาคาร HSBC ได้พุ่งขึ้นสู่ระดับ 62.9 ในเดือนส.ค. จากเดิม 60.5 ในเดือนก.ค. แต่ต่ำกว่าตัวเลขขั้นต้นที่ 65.6 ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว ส่วนดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของอินเดีย ได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 63.2 ในเดือนส.ค. จาก 61.1 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี ซึ่งบ่งชี้ถึงแรงส่งทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและครอบคลุมในทุกภาคส่วนสำคัญของอินเดีย นักเศรษฐศาสตร์ของ HSBC ให้ความเห็นว่า ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจภาคบริการของอินเดียทำสถิติสูงสุดในรอบ 15 ปีเมื่อเดือนที่แล้ว โดยมีปัจจัยหนุนจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขณะเดียวกัน อุปสงค์จากต่างประเทศก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อุปสงค์ที่แข็งแกร่งนี้เองที่เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจสามารถผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้มากขึ้น (อินโฟเควสท์)
      เกาหลีใต้ปรับเพิ่มการประเมิน GDP Q2/68 เป็น 0.7% หลังส่งออก-การลงทุนแกร่ง ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวรวดเร็วขึ้นในไตรมาส 2/2568 โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกและการลงทุนที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ตัวเลข GDP ที่แท้จริงในไตรมาส 2 ขยายตัว 0.7% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งดีกว่าการประมาณก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าขยายตัว 0.6% ส่วนเมื่อเทียบรายปี GDP ขยายตัว 0.6% ซึ่งดีกว่าการประมาณการก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าขยายตัว 0.5% BOK ระบุในแถลงการณ์ว่า การปรับเพิ่มประมาณการ GDP มีขึ้นหลังจากที่ BOK ได้ทำการรวบรวมข้อมูลภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงในเดือนสุดท้ายของไตรมาส ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการส่งออก การลงทุนด้านการก่อสร้าง และการลงทุนในทรัพย์สินทางปัญญา มีความแข็งแกร่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี การลงทุนในสิ่งอำนวยความสะดวกถูกปรับลดการประเมิน ข้อมูลล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ฟื้นตัวในไตรมาส 2 หลังจากที่หดตัว 0.2% ในไตรมาส 1 ซึ่งมีสาเหตุมาจากวิกฤตการเมืองภายในประเทศอันเนื่องมาจากประกาศกฎอัยการศึกของอดีตประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ตลอดจนความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ BOK ระบุว่า การใช้จ่ายภาคเอกชนส่งสัญญาณฟื้นตัวหลังจากภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองเริ่มคลี่คลายลง และการส่งออกปรับตัวขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของยอดส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ (อินโฟเควสท์)
      แหล่งข่าวเผยโอเปกพลัสเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมอาทิตย์นี้ แหล่งข่าวจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส เปิดเผยว่า โอเปกพลัสอาจพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมวันอาทิตย์ที่ 7 ก.ย. เพื่อชิงส่วนแบ่งในตลาดน้ำมัน ทั้งนี้ สมาชิก 8 ชาติของกลุ่มโอเปกพลัส ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต โอมาน อิรัก คาซัคสถาน และแอลจีเรีย จะจัดการประชุมผ่านระบบออนไลน์ในวันอาทิตย์นี้เพื่อพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนต.ค. ในการประชุมครั้งล่าสุดในเดือนส.ค. สมาชิก 8 ชาติของโอเปกพลัสมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 547,000 บาร์เรล/วันในเดือนก.ย. โอเปกพลัสได้ปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีเพื่อพยุงราคาน้ำมันในตลาด แต่ในปีนี้ โอเปกพลัสได้เริ่มเปลี่ยนแปลงท่าทีเพื่อกลับมาแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดอีกครั้ง โดยได้เริ่มปรับเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนเม.ย.ภายใต้แรงกดดันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ได้เรียกร้องให้โอเปกปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อช่วยควบคุมราคาน้ำมันในตลาด (อินโฟเควสท์)
      อินโดนีเซียตั้งเป้า GDP โต 5.0-5.2% ปีนี้ นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ระดับ 5.0–5.2% ในปีนี้ โดยจะเริ่มดำเนินการในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 การลงทุนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโต โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 การลงทุนคิดเป็นมูลค่า 924 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์) พร้อมกับการนำเข้าสินค้าทุนที่เพิ่มขึ้น 32.5% เมื่อเทียบรายปี นายฮาร์ตาร์โตระบุว่า การใช้จ่ายของรัฐวิสาหกิจ และการลงทุนในภาครัฐ ซึ่งอยู่ที่ 17.94% ในครึ่งปีแรก จะช่วยสนับสนุนประสิทธิภาพการผลิตต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ขณะที่รัฐบาลจะเดินหน้ามาตรการกระตุ้นทางการคลังในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลตั้งเป้าเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยคาดว่าจะมีการเบิกจ่ายอย่างน้อย 25% ของงบประมาณปี 2568 คิดเป็นมูลค่า 694 ล้านล้านรูเปียห์ โดยมีการจัดทำหลายโครงการเพื่อสนับสนุนกำลังซื้อของประชาชน (อินโฟเควสท์)
      อินโดฯ ตั้งเป้าเพิ่มรายได้รัฐ ลั่นไม่ขึ้นภาษี แต่เน้นกวดขันการปฏิบัติตามกม.ภาษี ศรี มุลยานี อินทราวาตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอินโดนีเซีย เปิดเผยว่าอินโดนีเซียมีแผนจะเพิ่มรายได้ของรัฐในปีหน้า โดยไม่ปรับขึ้นอัตราภาษีหรือออกอัตราภาษีใหม่ อินทราวาตีกล่าวต่อรัฐสภาว่า การใช้จ่ายของรัฐบาลจำเป็นต้องอยู่ในระดับสูงต่อไป แต่รายรับจากภาษียังคงมีเสถียรภาพ โดยกระทรวงฯ จะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการปฏิบัติตามกฎหมายภาษี ซึ่งผู้ที่มีศักยภาพในการจ่ายภาษีจะต้องจ่ายต่อไป ขณะที่ผู้ที่ประสบปัญหาจะได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงฯ ตั้งงบประมาณรายจ่ายของปีหน้าไว้ที่ราว 3.78 พันล้านล้านรูเปียห์ (ราว 7.47 ล้านล้านบาท) และรายได้ที่ราว 3.14 พันล้านล้านรูเปียห์ (ราว 6.21 ล้านล้านบาท) และจากรายได้รวมดังกล่าว กระทรวงฯ คาดว่ารายได้จากภาษีจะอยู่ที่ราว 2.35 พันล้านล้านรูเปียห์ (ราว 4.65 ล้านล้านบาท) (อินโฟเควสท์)
      อินเดียขยายตลาดส่งออกยาไปรัสเซีย-บราซิล-เนเธอร์แลนด์ หวังลดพึ่งพาสหรัฐฯ อินเดียตั้งเป้าขยายการส่งออกยาไปยังรัสเซีย เนเธอร์แลนด์ และบราซิล เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดยาใหญ่ที่สุดของอินเดีย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากร ปัจจุบัน อุตสาหกรรมยาของอินเดียได้รับการยกเว้นจากภาษีสูงสุด 50% ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ผู้ผลิตยาอินเดียยังคงวิตกกังวล เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์ สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกยาใหญ่ที่สุดของอินเดีย คิดเป็นมากกว่า 1 ใน 3 ของยอดส่งออกยาทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยาสามัญราคาถูก โดยยอดขายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 20% อยู่ที่ราว 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2568 แหล่งข่าวระบุว่า อินเดียมองเห็นโอกาสเติบโตในตลาดรัสเซีย บราซิล เนเธอร์แลนด์ และบางส่วนของยุโรป โดยมีเป้าหมายกระจายห่วงโซ่การส่งออกและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในต่างประเทศ ตลาดส่งออกยาอันดับสองของอินเดียคือสหราชอาณาจักร โดยมียอดขาย 914 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วยบราซิล 778 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเนเธอร์แลนด์และรัสเซียอยู่ที่ 616 ล้าน และ 577 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ ในปีงบประมาณ 2568 แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยกำลังการผลิตของผู้ผลิตยาในประเทศ อินเดียจึงมีศักยภาพที่จะเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ ได้อีก 20% อย่างไรก็ตาม ตลาดใหม่ดังกล่าวยังไม่สามารถทดแทนรายได้จากสหรัฐฯ ซึ่งยังคงสำคัญต่ออินเดีย โดยเป้าหมายหลักของอินเดียคือการหาตลาดใหม่เพื่อการเติบโต (อินโฟเควสท์)
      อินเดียเจรจาซื้อระบบขีปนาวุธ S-400 เพิ่มจากรัสเซีย เมินสหรัฐฯ กดดัน ดมิทรี ชูกาเยฟ ผู้อำนวยการสำนักงานบริการความร่วมมือทางเทคนิคด้านกลาโหมแห่งสหพันธ์รัสเซีย เปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (2 ก.ย.) ว่า รัสเซียและอินเดียกำลังเจรจาเกี่ยวกับการส่งมอบระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ S-400 ของรัสเซียเพิ่มเติมให้กับอินเดีย สำนักข่าวทาสส์ (TASS) รายงานคำกล่าวของชูกาเยฟว่า อินเดียมีระบบ S-400 ของรัสเซียอยู่แล้ว แต่มีความเป็นไปได้ที่จะขยายความร่วมมือ ซึ่งหมายถึงการส่งมอบชุดใหม่ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา เมื่อปี 2561 อินเดียได้ลงนามสัญญามูลค่า 5.5 พันล้านดอลลาร์กับรัสเซีย เพื่อจัดซื้อระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศพิสัยไกล S-400 Triumf จำนวน 5 เครื่อง ซึ่งทางการอินเดียระบุว่า มีความจำเป็นต่อการต่อต้านภัยคุกคามจากจีน ด้านเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย กล่าวในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ในวันนี้ว่า อินเดียไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้อินเดียหยุดซื้อทรัพยากรจากรัสเซีย และรัสเซีย "รู้สึกขอบคุณ" สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์มระบุว่า รัสเซียครองสัดส่วน 36% ของการนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ของอินเดียในช่วงปี 2563-2567 ขณะที่ฝรั่งเศสคิดเป็น 33% และอิสราเอลคิดเป็น 13% (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex บวกกว่า 400 จุด ขานรับปรับลดภาษี GST ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียดีดตัวขึ้นกว่า 400 จุด โดยได้แรงหนุนจากการปรับลดอัตราภาษีสินค้าและบริการ (GST) ก่อนถึงช่วงเทศกาล ซึ่งช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 80,567.71 บวก 409.83 จุด หรือ 0.51% หุ้นกลุ่มโลหะพุ่งขึ้นนำตลาดในวันนี้ (อินโฟเควสท์)  
      ไทย
      ผลพวงศก.โตต่ำ! ยอดจัดเก็บรายได้รัฐ 10 เดือน 2.25 ล้านลบ. พลาดเป้า 1.6% รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 67- ก.ค. 68) พบว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ อยู่ที่ 2,250,117 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 40,827 ล้านบาท หรือ 1.8% แต่ต่ำกว่าประมาณการ 37,637 ล้านบาท หรือ 1.6% โดยภาษีรถยนต์จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และปริมาณรถยนต์ที่ชำระภาษีต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า และภาษีเงินได้นิติบุคคล จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากมีการใช้สิทธิประโยชน์จากเขตปลอดอากรเพิ่มขึ้น รวมทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่การจัดเก็บรายได้ของส่วนราชการอื่น และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ยังสูงกว่าประมาณการ โดยกระทรวงการคลัง ได้มีการติดตามการจัดเก็บรายได้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารรายได้ให้เพียงพอสำหรับการพัฒนาประเทศ ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพทางการคลังให้มั่นคง สำหรับภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมภาษี ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 2,366,442 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 64,199 ล้านบาท หรือ 2.8% แต่ต่ำกว่าประมาณการ 3.1% หรือ 74,509 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ในส่วนของฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 10 เดือนแรก ของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค.67-ก.ค.68) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง ทั้งสิ้น 2,248,003 ล้านบาท ขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ทั้งสิ้น 3,165,629 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 827,805 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน ก.ค.68 มีจำนวนทั้งสิ้น 405,752 ล้านบาท (อินโฟเควสท์)
      มติพรรคประชาชนยกมือโหวตสนับสนุน "อนุทิน" เป็นนายกฯ คนใหม่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) แถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคประชาชน มีมติสนับสนุนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภาผู้แทนราษฎร ให้ "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้เงื่อนไขที่พรรคประชาชนได้เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ ดังต่อไปนี้ 1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป 2. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไข รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป 3. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย จะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้โดยเร็ว 4. เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนจริง พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใด ๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก 5. พรรคประชาชนยืนยันเป็นฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคประชาชนไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี (อินโฟเควสท์)
      “ภูมิธรรม" ยอมรับยื่นทูลเกล้าฯยุบสภาตั้งแต่เมื่อวานอ้างประชาธิปไตยบิดเบี้ยว นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภาไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ (2 ก.ย.) โดยเป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อดึงความเชื่อมั่นที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจให้กลับมา เนื่องจากขณะนี้ระบอบประชาธิปไตยบิดเบี้ยว ไม่ใช่รูปแบบปกติ เมื่อพรรคประชาชน (ปชน.) มีมติสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นนายกรัฐมนตรี แต่จะไม่เข้าร่วมรัฐบาล ทำให้การเมืองแบ่งเป็น 3 ก๊ก ภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคประชาชนครึ่งหนึ่งเป็นฝ่ายค้าน ครึ่งหนึ่งเป็นรัฐบาล ซึ่งไม่เคยมีปรากฎการณ์แบบนี้มาก่อน และมีการซื้อตัว สส.จนเกิดความสับสนอลหม่าน จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ "เราเห็นว่า หากไม่สามารถดึงความเชื่อมั่นกลับมา จะยิ่งส่งผลกระทบรุมเร้าต่อปัญหาเศรษฐกิจ ปรึกษากับฝ่ายกฎหมายแล้ว เห็นว่าควรคืนอำนาจให้กับประชาชนไปตัดสินใจ" นายภูมิธรรม กล่าว ทั้งนี้ นายภูมิธรรม ยอมรับว่า ได้ทูลเกล้าฯ พ.รฎ.ยุบสภา ไปแล้วตั้งแต่เย็นวานนี้ (2 ก.ย.) แต่เป็นพระราชอำนาจที่จะมีพระบรมราชวินิจฉัย จึงได้กราบบังคมทูลถวายรายงานสถานการณ์ต่าง ๆ ให้พระองค์ทรงทราบ ซึ่งต้องรอตามกระบวนการขอองประชาธิปไตย (อินโฟเควสท์)
      “ภูมิใจไทย" ยื่นบรรจุวาระโหวตนายกฯ หลัง "อนุทิน" ประกาศตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย นำรายชื่อ สส. 146 รายชื่อ ยื่นขอบรรจุวาระ ต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในวาระการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แถลงตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย นายไชยชนก กล่าวว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ยืนยันว่าจะดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องรอสรุปว่า ประธานสภาฯ จะดำเนินการอย่างไร เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน และประเทศจำเป็นต้องมีรัฐบาล (อินโฟเควสท์)
      ประชาธิปไตยใหม่-ภูมิใจไทย ร้องเอาผิด "ภูมิธรรม" ปมยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภา นายสุรทิน พิจารณ์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) พร้อมด้วย นายไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เดินทางไปที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อแจ้งความเอาผิด นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ในความผิดตามมาตรา 112 โดยนายไทกร กล่าวว่า การที่นายภูมิธรรม พยายามยื่นทูลเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ยุบสภา ถือเป็นการกระทำที่มิบังควร เนื่องจากมองว่านายภูมิธรรมนั้น ไม่มีอำนาจหน้าที่หรือสิทธิที่จะสามารถกระทำได้ อีกทั้งการกระทำของนายภูมิธรรม ยังส่อเจตนาดึงสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำ "วันนี้ ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จึงต้องออกมาเคลื่อนไหว ด้วยการแจ้งความดำเนินคดีกับนายภูมิธรรม เพื่อเป็นการปกป้องสถาบัน" นายไทกร กล่าว (อินโฟเควสท์)
      ประธานสภาฯ เคาะวันโหวตนายกรัฐมนตรี 5 ก.ย.68 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เผย ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้มีคำสั่งให้บรรจุเรื่องตามระเบียบวาระเรื่องด่วนที่ 8 พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพิ่มเติม ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง)เป็นพิเศษในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2568 (อินโฟเควสท์)
      ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 10.53 จุด ตอบรับการเมืองเดินหน้าสู่การเลือกตั้งหนุนหุ้นรับประโยชน์ SET ปิดวันนี้ที่ 1,259.31 จุด เพิ่มขึ้น 10.53 จุด (+0.84%) มูลค่าซื้อขาย 44,707.38 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้นรับความชัดเจนการเมืองเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง หนุนหุ้นรับประโยชน์เงินสะพัดดันตลาดหุ้นไทยเด้งขึ้นสวนทางตลาดหุ้นเอเชียที่ส่วนใหญ่ปรับลงรับแรงกดดันความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน แนวโน้มพรุ่งนี้คาดแกว่งไซด์เวย์ในกรอบ พร้อมให้แนวต้าน 1,270 จุด แนวรับ 1,250 จุด การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวแดนบวก โดยทำจุดสูงสุด 1,261.85 จุด และทำจุดต่ำสุด 1,249.91 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 280 หลักทรัพย์ ลดลง 177 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 194 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.35/36 อ่อนค่าตามภูมิภาค ลุ้นวันโหวตนายกฯ คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.25-32.50 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 32.35/36 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าเล็กน้อยจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.33 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวัน เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.33 - 32.45 บาท/ดอลลาร์ วันนี้เงินบาทและสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคเคลื่อนไหวอ่อนค่า ตามดอลลาร์ที่แข็งค่า หลังศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่าการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การต่อสู้คดีในศาลสูงสุด และมีแนวโน้มว่าทรัมป์ อาจต้องจ่ายภาษีที่เก็บมาคืน ซึ่งต้องหาเงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาล ทำให้วันนี้พันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น และดอลลาร์แข็งค่า สำหรับปัจจัยการเมืองในประเทศวันนี้ ไม่ได้ส่งผลต่อเงินบาทมากนัก นักลงทุนยังรอติดตามการประชุมสภาฯ เพื่อโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ว่าจะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25 - 32.50 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)  
      ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 83,888 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 83,888 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 2,738 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 2,082 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 586 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.12% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% (อินโฟเควสท์)  
      ปัจจัยที่ต้องติดตาม
      • ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนส.ค.จาก ADP สหรัฐฯ
      • จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ สหรัฐฯ
      • ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนก.ค. สหรัฐฯ
      • ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.จาก S&P Global สหรัฐฯ
      • ดัชนีภาคบริการเดือนส.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) สหรัฐฯ
      • สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้าน สหรัฐฯ

      Share

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      Recommend Post

      News Demo
      24
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      23
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more
      News Demo
      22
      September
      2025
      สรุปภาวะเศรษฐกิจประจำวัน
      Read more

      Shortcut Menu

      • Home
      • About KTAM
      • Mutual Funds
      • Provident Funds
      • Private Funds
      • Property/REIT
      • RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • FIF / ETF
      • Top Performance Fund
      • Dividend
      • News/Research
      • Asset Allocation Strategy
      • Documents and Forms
      • Promotions
      • Calendar
      • Activities
      • Procurement
      • AIMC Category
        Performance Report
      • FAQs
      • Investment Knowledge
      • Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies
      • Manage Cookie Preference
      • E-newsletter
      • Contact Us
      • Career
      • Privacy Notice
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      Copyright © 2016 Krungthai Asset Management Public Company Limited

      Tel: 0-2686-6100 FAX: 0-2670-0430 Toll Free Number:1-800-295-592

      Email: [email protected]

      Tax ID 0-1075-45000-37-3 : Head Office

      • Affiliates
      • Related Links
      • Sitemap

      USE AND MANAGEMENT OF COOKIES

      Our website use cookie to enhance user experience. You may adjust your cookie preference and learn more about the cookie we use by visiting Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies and Manage Cookie Preference

       MANAGE COOKIE PREFERENCE

      When you use our website, we use necessary cookies to ensure that our website will work properly. We also use other types of cookie to correct information about how you interact with our website and use the information to enhance the user experience. However, you can adjust your cookie preference at any time, and we will not use the cookies that you had disabled.

      To learn more about the cookie we use, visit us at Notice Regarding Data Privacy and Use of Cookies


      Manage Cookie Preference

      Necessary cookies

      Necessary cookies enable core functionalities such as security, network management, and accessibility.

      Analytics cookies

      Google Analytics helps us to improve our website by collecting and reporting your usage information on the website. These cookies collect information in a way that does not identify anyone directly.