รู้จักวัฏจักรเศรษฐกิจ 4 ช่วง มีผลต่อหุ้นกลุ่มไหนบ้าง?
“เข้าใจ Sector Rotation อย่างมีเหตุผลและมีบริบท”
หนึ่งในแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์การจัดพอร์ตของนักลงทุนระดับโลก ก็คือการปรับพอร์ตตามวัฏจักรเศรษฐกิจ (Economic Cycle) โดยเฉพาะวิธีการเลือก Sector หรืออุตสาหกรรมที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาของวงจรเศรษฐกิจ ซึ่งเรียกกันว่า “Sector Rotation”
แนวคิดนี้ทำงานอย่างไร เหตุใดหุ้นบางกลุ่มมักโดดเด่นในบางช่วงของเศรษฐกิจ บทความนี้จะเล่าให้ฟัง
วัฏจักรเศรษฐกิจ กับโครงสร้าง 4 ช่วงเวลา
วงจรเศรษฐกิจโดยทั่วไปจะหมุนผ่าน 4 ช่วงเวลาหลัก ที่สัมพันธ์กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และพฤติกรรมผู้บริโภค ได้แก่
1. Expansion – ช่วงเศรษฐกิจเติบโต
2. Peak – จุดสูงสุดของวัฏจักรเติบโต
3. Contraction – เศรษฐกิจถดถอย
4. Trough – จุดต่ำสุดและเริ่มฟื้นตัว
เน้นไว้ก่อน! ตลาดหุ้นมักจะสะท้อนอนาคตมากกว่าภาวะปัจจุบัน ดังนั้น ราคาหุ้นมักจะฟื้นตัวก่อนที่เศรษฐกิจจริงจะฟื้น และปรับฐานก่อนที่ตัวเลขเศรษฐกิจจะชะลอตัวจริง ๆ
1. Expansion – เศรษฐกิจกำลังโต
คือช่วงเวลาที่ GDP ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การจ้างงานเพิ่มขึ้น รายได้ครัวเรือนสูงขึ้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่สนับสนุนการกู้ยืม และลงทุน
ในช่วงที่เศรษฐกิจเคลื่อนตัวได้ดี บริษัทต่างๆ เริ่มเห็นการเติบโตของรายได้และกำไร นักลงทุนมองหาการเติบโตในอนาคตมากกว่าความมั่นคง จึงให้ความสนใจกับหุ้นในกลุ่มที่สามารถขยายรายได้และกำไรได้เร็ว สอดคล้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ
Sector ที่มักสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า sector อื่นใน phase นี้ อาทิ
• Technology – กลุ่มเทคโนโลยีสามารถเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อมีรอบเศรษฐกิจสนับสนุน ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านนวัตกรรม การขยายตลาด และโมเดลธุรกิจที่มี leverage สูง
ตัวอย่างบริษัท: Apple (AAPL), Microsoft (MSFT), Nvidia (NVDA)
• Consumer Discretionary – ผู้บริโภคมีรายได้เพิ่มขึ้น และพร้อมจะใช้จ่ายกับสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย แต่สร้างความพึงพอใจหรือแสดงฐานะ
ตัวอย่างบริษัท: Amazon (AMZN), Tesla (TSLA), Nike (NKE), STARBUCK (SBUX)
• Industrials – เศรษฐกิจขยายตัวส่งผลให้ความต้องการด้านการก่อสร้าง การผลิต และการขนส่งกลับมาฟื้นตัว ธุรกิจกลุ่มนี้มักได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการลงทุนของภาคเอกชนและภาครัฐ
ตัวอย่างบริษัท: Caterpillar (CAT), Boeing (BA), Honeywell (HON)
2. Peak – จุดสูงสุดของวัฏจักร
ภาวะที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขยายตัวเต็มที่ เงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นจากฝั่งอุปสงค์ ดอกเบี้ยของธนาคารกลางเริ่มขยับขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ขณะที่ความต้องการของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับสูง
ช่วงเวลานี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และวัตถุดิบมักพุ่งขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้บริษัทในกลุ่มที่มีอำนาจในการตั้งราคา หรือครอบครองทรัพยากรสำคัญยังสามารถทำกำไรได้สูง แม้ต้นทุนโดยรวมจะเพิ่มขึ้น
Sector ที่มักสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า sector อื่นใน phase นี้ อาทิ
• Energy – กลุ่มพลังงานได้รับประโยชน์จากราคาพลังงาน อย่างน้ำมันและก๊าซที่สูงขึ้น เนื่องจากอุปสงค์เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานฟอสซิล
ตัวอย่างบริษัท: ExxonMobil (XOM), Chevron (CVX), ConocoPhillips (COP)
• Materials – ความต้องการวัตถุดิบ เช่น ทองแดง เหล็ก ทองคำ และเคมีภัณฑ์ ยังคงแข็งแรงในช่วงท้ายของการขยายตัว ก่อนที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะชะลอ
ตัวอย่างบริษัท: Freeport-McMoRan (FCX), Newmont (NEM), Dow Inc. (DOW)
3.Contraction – เศรษฐกิจชะลอตัว
การบริโภคเริ่มลดลง ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงานอาจเริ่มปรับตัวสูงขึ้น
ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน นักลงทุนจะมองหาความปลอดภัย โดยหันไปลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีรายได้มั่นคง ไม่ขึ้นอยู่กับวัฏจักรเศรษฐกิจ และมักมีปันผลสม่ำเสมอ
Sector ที่มักสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า sector อื่นใน phase นี้ เช่น
• Consumer Staples – ผู้บริโภคยังคงต้องใช้สินค้าจำเป็น เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ในบ้าน ทำให้รายได้ของบริษัทในกลุ่มนี้ค่อนข้างนิ่งแม้ในช่วงเศรษฐกิจแย่
ตัวอย่างบริษัท: Procter & Gamble (PG), Walmart (WMT), Coca-Cola (KO)
• Healthcare – ความต้องการด้านสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจใดก็ตาม ทำให้รายได้และกระแสเงินสดของบริษัทกลุ่มนี้มีความมั่นคง
ตัวอย่างบริษัท: Johnson & Johnson (JNJ), Pfizer (PFE), UnitedHealth Group (UNH)
• Utilities – ธุรกิจสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำ และก๊าซ มีรายได้ประจำและมักมีการผูกขาดเชิงภูมิศาสตร์ ทำให้ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน
ตัวอย่างบริษัท: NextEra Energy (NEE), Duke Energy (DUK), Dominion Energy (D)
4. Trough – จุดต่ำสุด และเริ่มฟื้นตัว
- ตัวเลขเศรษฐกิจยังอ่อนแอแต่เริ่มเห็นสัญญาณบวก เช่น อัตราดอกเบี้ยลดลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มออกมา และตลาดเริ่ม “มองความหวังอนาคต”
- แม้เศรษฐกิจจริงยังอยู่ในช่วงอ่อนแรง แต่นักลงทุนเริ่มคาดการณ์การฟื้นตัว และกลับมาลงทุนในหุ้นที่ถูกเทขายมากเกินไปในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
- Sector ที่มักสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า sector อื่นใน phase นี้ เช่น
• Financials – ดอกเบี้ยที่ลดลงกระตุ้นความต้องการสินเชื่อทั้งรายย่อยและรายใหญ่ ขณะเดียวกัน ส่วนต่างรายได้จากดอกเบี้ยของธนาคาร (spread) มีแนวโน้มดีขึ้น
ตัวอย่างบริษัท: JPMorgan Chase (JPM), Bank of America (BAC), Goldman Sachs (GS)
• Real Estate – ดอกเบี้ยต่ำลงช่วยลดต้นทุนการซื้อบ้านและต้นทุนทางการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกัน REITs ก็กลับมาน่าสนใจในฐานะแหล่งกระแสเงินสด และการจ่ายปันผลเทียบกับตราสารหนี้
ตัวอย่างบริษัท: Prologis (PLD), Realty Income (O), Simon Property Group (SPG)
• Growth/Small Cap Stocks – เมื่อความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา นักลงทุนเริ่มกลับมามองหาหุ้นเติบโตที่มี upside สูง แม้จะมีความเสี่ยงมากกว่า
ตัวอย่างบริษัท: Roku (ROKU), Shopify (SHOP), SOFI (SOFI)
Reality Check: มองวัฏจักรเป็น “แนวโน้ม” ไม่ใช่ “สูตรสำเร็จ”
แม้แนวคิด Sector Rotation ตามเศรษฐกิจจะมีรากฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่แข็งแรง แต่ก็ยังไม่ใช่สูตรสำเร็จ ที่ใช้ได้เสมอไปในทุกสถานการณ์ เพราะยังมีตัวแปรอื่นที่สำคัญและมีอิทธิพลต่อตลาดไม่แพ้กัน อาทิ
- นโยบายการเงิน (Monetary Policy) เช่น การทำ QE การลดอัตราดอกเบี้ย หรือมาตรการกระตุ้นของ Fed สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของตลาดโดยไม่ขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจจริง
- โครงสร้างใหม่ของโลกการลงทุน เช่น การเร่งตัวของเทคโนโลยี AI, การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด หรือ digitalization ซึ่งทำให้บาง sector เติบโตได้แม้อยู่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
- ภาครัฐและนโยบาย เช่น กฎหมายภาษี นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการแทรกแซงภาคธุรกิจบางกลุ่มอาจพลิก Sector Leader ได้ทันที
- พฤติกรรมของนักลงทุน เช่น การไล่ราคาฟองสบู่ หรือความเชื่อมั่นผิดทางที่ทำให้หุ้นบางกลุ่มแข็งเกินเหตุหรืออ่อนผิดเวลา
สิ่งที่ยากที่สุด คือการระบุจุดปัจจุบันในวัฏจักร แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์มืออาชีพก็ไม่สามารถบอกได้อย่างแม่นยำว่าตอนนี้ เราอยู่ “จุดไหน” ในวัฏจักรเศรษฐกิจกันแน่ จนกว่าจะผ่านมันไปแล้ว ดังนั้น แนวคิดเหล่านี้ควรนำมาปรับใช้อย่างมีวิจารณญาณควบคู่ไปกับการพิจารณาข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพอื่นๆ อย่างเหมาะสม เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน
หากคุณเชื่อในวัฏจักรเศรษฐกิจและมองหาโอกาสจาก Sector Rotation… KTAM พร้อมตอบโจทย์นั้นให้คุณ
การลงทุนผ่าน “กองทุนรวมเชิงรุก” ที่มีการโฟกัสในกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะผู้จัดการกองทุนมีอิสระในการปรับกลยุทธ์ พร้อมทั้งคัดเลือกหุ้นเด่นในกลุ่มที่เชื่อว่าจะ “Outperform” ได้ตามจังหวะของเศรษฐกิจ
เราจึงขอแนะนำกองทุนเด่นที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนตาม Sector Rotation ได้อย่างมีหลักการ ได้แก่
“Trough Phase / ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด: เน้นกลุ่มการเงินและอสังหาริมทรัพย์”
กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ (KT-FINANCE)
(ความเสี่ยงระดับ 7)
เน้นลงทุนใน Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (กองทุนรวมหลัก) โดยกองทุนหลักจะลงทุนในหุ้นทุนทั่วโลกของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านการเงินแก่ผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก ซึ่งเมื่อดอกเบี้ยเข้าสู่ช่วงขาลงและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว กลุ่มการเงินมักได้อานิสงส์อย่างชัดเจน และกองทุน KT-FINANCE ก็โฟกัสเฉพาะในหุ้นสถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลก เช่น JPMorgan, Bank of America และบริษัทฟินเทคที่มีศักยภาพสูง
กองทุนเปิด เคแทม เวิลด์ พร็อพเพอร์ตี้ (KT- PROPERTY)
(ความเสี่ยงระดับ 7)
เน้นลงทุนใน Henderson Global Property Equities Fund (กองทุนหลัก) โดยเน้นลงทุนในหุ้น หรือกองทรัสต์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่มีการกำกับดูแล โดยมีรายได้หลักจากการเป็นเจ้าของ บริหารจัดการ และ/หรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยเน้นบริษัทที่มีงบดุลแข็งแรงและการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ พร้อมกระแสเงินสดสม่ำเสมอและการเติบโตระยะยาว
“Expansion Phase / เศรษฐกิจเติบโต: เทคโนโลยีมักเป็นดาวเด่น”
กองทุนเปิดเคแทม World Technology (KT-TECHNOLOGY)
(ความเสี่ยงระดับ 7)
เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Fidelity Funds - Global Technology Fund (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลก รวมถึงประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีการพัฒนา/หรือจะมีการพัฒนา ด้านผลิตภัณฑ์ กระบวนการหรือการให้บริการ หรือที่จะได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าหรือการพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น นักลงทุนมักแสวงหาการเติบโตที่รวดเร็ว
“Peak Phase / จุดสูงสุดของเศรษฐกิจ: พลังงานและวัตถุดิบมักแข็งแกร่ง”
กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ (KT-ENERGY)
(ความเสี่ยงระดับ 7)
เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BGF World Energy Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทชั้นนำทั่วโลกซึ่งมีธุรกิจหลักในการสำรวจพัฒนาและจัดจำหน่ายพลังงาน และอาจลงทุนในบริษัทที่มุ่งเน้นการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากพลังงานทดแทน ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันและก๊าซพุ่งขึ้นตามอุปสงค์โลก หุ้นกลุ่มพลังงานแบบดั้งเดิมมักได้ประโยชน์
กองทุนเปิดแทม เวิลด์ เมทัล แอนด์ ไมน์นิ่ง ฟันด์ (KT-MINING)
(ความเสี่ยงระดับ 7)
เน้นลงทุนในกองทุนหลัก Allianz Global Metals and Mining Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีใม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับการสำรวจ สกัด หรือแปรรูปโลหะและแร่ต่างๆ ซึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจยังร้อนแรง ราคาสินแร่ เช่น ทองแดง เหล็ก หรืออลูมิเนียม มักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยกองทุนนี้เลือกลงทุนในบริษัทเหมืองแร่ชั้นนำ เช่น BHP, Rio Tinto ด้วยวิธีการวิเคราะห์พื้นฐานเชิงลึก ผสานกับการบริหารความเสี่ยงด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์
“Contraction Phase / ชะลอตัว: หุ้นรับผลกระทบต่ำอย่าง Healthcare มักเป็นที่น่าสนใจ”
กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เฮลธ์แคร์ ฟันด์ (KT-HEALTHCARE)
(ความเสี่ยงระดับ 7)
เน้นลงทุนใน Janus Henderson Global Life Sciences Fund (กองทุนหลัก) โดยเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์กับการดำเนินชีวิต เกี่ยวกับการรักษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว หุ้นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมักมีความต้านทานแรงกดดันทางเศรษฐกิจ โดยกองทุน KT-HEALTHCARE จะคัดเลือกบริษัทที่มีนวัตกรรมด้านชีววิทยา ยารักษาโรค และเทคโนโลยีสุขภาพที่มีการเติบโตระยะยาว เช่น Pfizer, Novo Nordisk ซึ่งไม่เพียงมีลักษณะ defensive จากความแข็งแรงของกระแสเงินสดและเป็นสินค้าจำเป็น แต่ยังมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพอีกด้วย
คำเตือน : กองทุนมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
สนใจเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade ได้ที่ https://bit.ly/KTSTSignIn
ผู้เขียน : เขมรัฐ ทรงอยู่
รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ
บลจ.กรุงไทย