• X
  • ค้นหา
  • TH EN
      บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
      • Menu แนะนำ
        • NAV
        • ค้นหากองทุน
        • กองทุนแนะนำ
        • กองทุนผลงานดี
        • ตารางจ่ายเงินปันผล
        • วันหยุดกองทุน
        • ข่าว/บทวิเคราะห์
        • กลยุทธ์การลงทุน
        • กำหนดการและแบบฟอร์ม
        • โปรโมชั่น
        • ข้อมูลกองทุน
        • เปรียบเทียบกองทุน
        • KTAM Daily News
        • KTAM Edutainment
      • KTAM Smart Trade
      • PVD Online
      • Agent
      TH : EN
      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน/รีทส์/อสังหาริมทรัพย์
      1. หน้าแรก
      2. KTAM Edutainment
      3. Smart Beta คืออะไร? เมื่อ ETF เริ่มฉลาดขึ้นและซับซ้อนขึ้นด้วย

      Smart Beta คืออะไร? เมื่อ ETF เริ่มฉลาดขึ้นและซับซ้อนขึ้นด้วย

      Smart Beta คืออะไร? เมื่อ ETF เริ่มฉลาดขึ้นและซับซ้อนขึ้นด้วย

       ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ลงทุนผ่านกองทุน ETF อยู่แล้ว ก็อาจเคยได้ยินชื่อของ “Smart Beta” ผ่านมาบ้าง แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการลงทุน แต่ก็เป็นแนวคิดด้านการลงทุนที่ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง
          Smart Beta ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่างการลงทุนแบบ Passive และ Active ด้วยวิธีการเลือกหุ้นตามปัจจัยเชิงคุณภาพต่าง ๆ แทนที่จะอิงแค่ขนาดของบริษัทเหมือนดัชนีทั่วไปเพียงอย่างเดียว
          คำถามคือ… Smart Beta คืออะไรและน่าสนใจแค่ไหนเมื่อเทียบกับดัชนีปกติ? เหมาะกับแผนการลงทุนของคุณหรือไม่? เนื้อหาต่อไปนี้จะเล่าให้ฟัง

      1. เริ่มจากพื้นฐาน: Beta คืออะไร?
          ก่อนจะไปทำความเข้าใจกับ Smart Beta เราต้องเริ่มจากคำว่า “Beta” เสียก่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในค่าทางคณิตศาสตร์ ที่นักลงทุนมืออาชีพใช้ประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์
          ในโลกการลงทุน Beta คือค่าที่บ่งบอกว่า สินทรัพย์ (เช่น หุ้นหรือกองทุน) “มีความสัมพันธ์กับความเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม“ มากน้อยเพียงใด รวมถึงว่าสินทรัพย์ตัวนั้น มีความผันผวน (Volatility) เทียบกับตลาดอย่างไร
      - เมื่อ Beta = 1 แปลว่าสินทรัพย์เคลื่อนไหวขึ้นลงสอดคล้องกับตลาดพอดี เช่น ถ้าตลาดปรับตัวขึ้น 5% สินทรัพย์นี้ก็มักจะขึ้นประมาณ 5%
      - เมื่อ Beta > 1 แปลว่าสินทรัพย์มีความผันผวนสูงกว่าตลาด ดังนั้น เมื่อใดที่ตลาดขึ้น สินทรัพย์นี้มักจะ ”ขึ้นแรงกว่า“ แต่ถ้าตลาดลง สินทรัพย์นี้ก็มีแนวโน้มจะ ”ลงแรงกว่า“ เช่นกัน (เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการโอกาสรับผลตอบแทนมากกว่าตลาด)
      - เมื่อ Beta < 1 แปลว่าสินทรัพย์มีความผันผวนต่ำกว่าตลาด ดังนั้น สินทรัพย์กลุ่มนี้มักขยับขึ้นหรือร่วงลงน้อยกว่าตลาด (เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ เช่น หุ้นกลุ่ม Defensive หรือกองทุน Low Volatility)

      ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น
      - หากหุ้นตัวหนึ่งมี Beta = 1.5 (มากกว่า 1) เมื่อตลาดปรับตัวขึ้น 10% หุ้นตัวนี่อาจปรับขึ้นถึง 15%
      - แต่กลับกัน หากตลาดปรับตัวลง 10% หุ้นตัวนี้ก็อาจดิ่งลงถึง 15% เช่นกัน
      กล่าวง่าย ๆ ก็คือ Beta เป็นตัวชี้วัดว่านักลงทุนกำลังลงทุนในสินทรัพย์ที่ “เคลื่อนไหวแรงกว่า” หรือ “นิ่งกว่าตลาด” ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน

      2. แล้ว Smart Beta คืออะไร?
          Smart Beta คือกลยุทธ์การลงทุนที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง Passive Investing (ลงทุนตามดัชนีแบบดั้งเดิม) และ Active Investing (ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นตามดุลยพินิจ)
          แทนที่จะเลือกหุ้นตามขนาดมูลค่าตลาด (Market Cap) เหมือนดัชนีทั่วไป Smart Beta จะใช้หลักการการคัดเลือกหุ้น (Rules-Based Approach) โดยเพิ่มปัจจัยเฉพาะ (Factors) ที่มีหลักฐานเชิงสถิติบ่งชี้ว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว มาเป็นตัวกรองในการคัดสรรหุ้น

      ตัวอย่างปัจจัย (Factors) ที่ Smart Beta นำมาใช้ในการกรองหุ้น
      - Value Factor ลงทุนในหุ้นที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน เช่น หุ้นที่มี P/E และ P/B ต่ำ
      - Momentum Factor เน้นหุ้นที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
      - Quality Factor คัดเลือกหุ้นที่มีคุณภาพสูง เช่น กำไรสม่ำเสมอ หนี้สินต่ำ กระแสเงินสดดี
      - Low Volatility Factor เลือกหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการความมั่นคง
      - Size Factor เน้นลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap) ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง
      บางกองทุน Smart Beta อาจเลือกใช้เพียงปัจจัยเดียว ขณะที่บางกองทุนอาจผสมผสานหลายปัจจัยเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น

      3. Smart Beta ETF แตกต่างจาก ETF ดั้งเดิมอย่างไร?
      - Traditional ETF: ลงทุนตามดัชนีตลาดแบบดั้งเดิม เช่น S&P 500, Nasdaq-100 หรือ SET50 ซึ่งดัชนีเหล่านี้มักคัดเลือกหุ้นตามมูลค่าตลาดของบริษัท (Market Cap) เป็นหลัก บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงจะมีน้ำหนักในดัชนีมากกว่า โดยไม่มีการคัดกรองในเชิงคุณภาพหรือปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ
       - Smart Beta ETF: ใช้วิธีคัดเลือกหุ้นตาม ปัจจัยเชิงกลยุทธ์ (Strategic Factors) เช่น คุณภาพ (Quality), ราคาน่าสนใจ (Value), โมเมนตัม (Momentum) หรือความผันผวนต่ำ (Low Volatility) แทนที่จะอิงแค่ขนาดบริษัทเพียงอย่างเดียว
      กระบวนการสร้าง Smart Beta ETF จะเริ่มจากการที่ผู้จัดทำดัชนี (Index Provider) เช่น MSCI, FTSE Russell หรือ S&P Dow Jones พัฒนาดัชนี Smart Beta ขึ้นมาก่อน ด้วยการออกแบบสูตรคัดเลือกหุ้นตามปัจจัยเฉพาะที่ต้องการ จากนั้นบริษัทจัดการ (Asset Manager) จะออกกองทุน ETF และซื้อหุ้นตามดัชนีดังกล่าว (กองทุนดัชนี)

      กล่าวได้ว่า แม้ Smart Beta ETF จะเป็นกองทุนที่บริหารแบบ Passive เพราะลงทุนตามดัชนีเหมือนกัน แต่เบื้องหลังของดัชนีนั้น ถูกออกแบบมาอย่างมีระบบโดยคำนึงถึงปัจจัยที่อาจช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวร่วมด้วย
      4. ข้อดีของ Smart Beta มีอะไรบ้าง?
          - ค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนแบบ Active Fund แต่ให้โอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าดัชนี
          - มีโครงสร้างการคัดเลือกหุ้นที่ชัดเจน ช่วยลดอคติจากการตัดสินใจของมนุษย์
          - กระจายความเสี่ยงได้ดี เพราะยังคงเน้นการลงทุนในหุ้นจำนวนมากเหมือนกับ ETF

      ข้อควรระวังของ Smart Beta
          - ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เลือกใช้ และไม่มีปัจจัยใดที่ให้ผลตอบแทนดีในทุกช่วงเวลา
          -โครงสร้างอาจซับซ้อน ทำให้บางครั้งนักลงทุนไม่เข้าใจชัดเจนว่ากองทุนกำลังเน้นปัจจัยอะไร
          - ค่าธรรมเนียมสูงกว่า ETF ทั่วไปเล็กน้อย เนื่องจากมีการคัดเลือกหุ้นตามกลยุทธ์เฉพาะ

      5. สรุป: Smart Beta เหมาะกับใคร?
           -เหมาะกับผู้ที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่เหนือกว่าดัชนีทั่วไป แต่ไม่ต้องการจ่ายค่าธรรมเนียมสูงเหมือนกองทุนแบบ Active
           - เหมาะกับผู้ที่เข้าใจและยอมรับได้ว่า ผลลัพธ์ในระยะสั้นอาจผันผวน แต่เน้นโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
           - สำหรับผู้ที่ยังใหม่กับการลงทุน หรือพอใจกับผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดแบบที่ไม่ซับซ้อน การเลือกใช้ Passive ETF ที่อ้างอิงดัชนีตลาดทั่วไปก็อาจเพียงพอ หรืออาจขยับไปสู่ Smart Beta ETF ที่ซับซ้อนมากขึ้นในภายหลัง 

      6. ตัวอย่างกองทุนรวมที่นำกลยุทธ์ Smart Beta มาใช้ อาทิ
      -กองทุนเปิดเคแทม World Quality Factor Equity Passive (ชนิดสะสมมูลค่า) (KT-WQUALITY-A) 
       (ความเสี่ยงระดับ 6)
      -กองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนใน iShares Edge MSCI World Quality Factor UCITS ETF (กองทุนรวมหลัก) โดยกองทุนหลักเน้นลงทุน ในบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (DM) เป็นหลัก เพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี MSCI World Sector Neutral Quality Index
      -กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยพิจารณาจากปัจจัยคัดกรองเพิ่มเติมเช่น ผลกำไรสม่ำเสมอ  อัตราส่วนหนี้สินต่ำ และผลตอบแทนจากเงินลงทุนสูง (ROE)
      -เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงระยะยาวจากหุ้นพื้นฐานดีในระดับโลก และต้องการกระจายความเสี่ยง ข้ามภูมิภาคไปพร้อมกัน
      -เป็น Smart Beta ในรูปแบบของ Quality Factor

       กองทุนเปิดเคแทม US Small Cap Equity Passive (ชนิดสะสมมูลค่า) (KT-USSM-A)
       (ความเสี่ยงระดับ 6)
      -กองทุนเน้นลงทุนใน Vanguard Small-Cap ETF โดยกองทุนหลักเน้นกระจายการลงทุนในบริษัทขนาดเล็กของ สหรัฐฯ ที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี CRSP US Small Cap Index ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับน้ำหนักของหุ้นดังกล่าวในดัชนีอ้างอิง
      -กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นขนาดเล็กถึงกลางของสหรัฐฯ ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาว แม้มีความ ผันผวนสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มศักยภาพการเติบโต ให้กับพอร์ต
      - เป็น Smart Beta ในรูปแบบของ Size Factor

       กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ อิควิตี้ ฟันด์ (ชนิดสะสมมูลค่า) (KT-WEQ-A)
      (ความเสี่ยงระดับ 6)
      -เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน AB Low Volatility Equity Portfolio (กองทุนหลัก) ซึ่งมีกลยุทธ์ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความผันผวนต่ำ โดยลงทุนในหุ้นที่อยู่ในประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก รวมถึงกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
      -ไม่ใช่แค่ ETF เท่านั้นที่นำแนวคิด Smart Beta มาใช้ เรายังเห็นกอง
      ทุนแบบ Active หลายกอง ที่นำกลยุทธ์  ลักษณะเดียวกัน มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคัดเลือกหุ้น ซึ่ง AB Low Volatility Equity Portfolio กองทุนรวมหลักของ KT-WEQ-A เป็นกองทุนประเภท Active ที่นำแนวคิด  Low Volatility จาก Smart Beta มาปรับใช้ เพื่อคัดเลือกหุ้นที่มีความผันผวนต่ำและมีศักยภาพสร้างผลตอบแทนระยะยาว
      -เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนของพอร์ตจาก Low Volatility Factor และการกระจายความเสี่ยง ทั่วโลก ขณะเดียวกัน ก็ยังเชื่อมั่นในกระบวนการวิเคราะห์เชิงรุกของผู้จัดการกองทุน

      คำเตือน : กองทุนมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

      ผู้เขียน: เขมรัฐ ทรงอยู่
      รองผู้อำนวยการ ฝ่ายลงทุนต่างประเทศ

      แชร์เรื่องนี้

      • Facebook
      • Twitter
      • Line

      เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ

      News Demo
      12
      ธันวาคม
      2568
      Dollar Smile Theory พฤติกรรมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจสุดขั้ว
      อ่านต่อ
      News Demo
      04
      ธันวาคม
      2568
      Gold Demand ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังความต้องการทองคำของโลก
      อ่านต่อ
      News Demo
      28
      พฤศจิกายน
      2568
      สำรวจสี่เสาหลักกลยุทธ์สร้างรายรับของ Income Funds อีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนในยุคอัตราดอกเบี้ยผันผวน
      อ่านต่อ

      Shortcut Menu

      • หน้าแรก
      • เกี่ยวกับ KTAM
      • กองทุนรวม
      • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      • กองทุนส่วนบุคคล
      • กองทุนอสังหาริมทรัพย์/
        โครงสร้างพื้นฐาน
      • กองทุน RMF/LTF/SSF/ThaiESG
      • กองทุน FIF/ETF
      • กองทุนผลงานดี
      • ตารางจ่ายเงินปันผล
      • ข่าว/บทวิเคราะห์
      • กลยุทธ์การลงทุน
      • กำหนดการและแบบฟอร์ม
      • โปรโมชั่น
      • ปฏิทินกองทุน
      • ภาพกิจกรรม
      • ประกาศราคากลาง
      • AIMC Category
        Performance Report
      • ถาม-ตอบ
      • ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน
      • ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้
      • การตั้งค่าคุกกี้
      • สมัครรับข่าวสาร
      • ติดต่อเรา
      • ร่วมงานกับเรา
      • ประกาศความเป็นส่วนตัว
      Go To Top
      Stay Connect with us:
      • Facebook
      • Twitter
      • Youtube

      สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2559, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

      KTAM Smart Plan: 0-2686-6100 กด 9 โทรสาร 0-2670-0430 ต่างจังหวัดโทรฟรี 1-800-295-592

      อีเมล: [email protected]

      เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0-1075-45000-37-3 : สำนักงานใหญ่

      • พันธมิตรธุรกิจ
      • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
      • แผนผังเว็บไซต์

      การใช้และการจัดการคุกกี้

      เว็บไซต์ของบริษัทฯ มีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คุณสามารถตั้งค่าและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ การใช้คุกกี้ของบริษัทฯ ได้ที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ และ การตั้งค่าคุกกี้

       การใช้และการจัดการคุกกี้

      เมื่อท่านเข้าใช้เว็บไซต์ของเรา เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของเราจะ ทำงานได้อย่างถูกต้อง และเรายังใช้คุกกี้ประเภทอื่นๆ เพื่อรวบรวมพฤติกรรมการใช้ งานเว็บไซต์ของเราและนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการปรับปรุงเพื่อสร้างประสบการณ์ การใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานคุกกี้ บางประเภทได้ตลอดเวลา และบริษัทจะไม่ใช้คุกกี้ที่ท่านเลือกปิดการใช้งาน

      ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเราที่ ประกาศความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้


      การกำหนดลักษณะความยินยอม

      คุกกี้ที่จำเป็น

      คุกกี้เหล่านี้ที่จำเป็นในการเปิดใช้คุณลักษณะการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เช่น การรักษาความปลอดภัย การบริหารจัดการเครือข่าย และการเข้าสู่ระบบ

      คุกกี้วิเคราะห์

      เราใช้คุกกี้ Google Analytics เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวบรวมและรายงานข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคลโดยตรง