“โอกาสลงทุนหุ้น Healthcare เติบโตไปกับธุรกิจสุขภาพระดับโลก"

องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยจำนวนคนเกษียณทั่วโลกจะพุ่งสูงถึง 2 พันล้านคน ในปี 2050 และจำนวน 2 ใน 3 ของประชากรที่อายุเกิน 60 ปี อยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและประเทศรายได้ปานกลาง ทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องปรับตัวให้ทันก่อนสภาพสังคมที่จะเปลี่ยนแปลงไป
พอสัดส่วนประชากรในสังคมเปลี่ยน การดำเนินชีวิตและคุณภาพสังคมก็เปลี่ยนไป ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก แล้วโอกาสในการลงทุนจะเป็นอย่างไรต่อไป?
วันนี้ KTAM จึงมาบอกโอกาสลงทุนในกลุ่ม Healthcare ที่มีเทรนด์สนับสนุนอย่างมากในปัจจุบัน
กลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง และ ได้รับกระแสตอบรับจากประชากรในสังคมมากมายด้วยเทรนด์ต่าง ๆ ดังนี้
3 เทรนด์ใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงวงการ Healthcare
- สังคมผู้สูงอายุทั่วโลก (Aging Society) & ความต้องการบริการทางการแพทย์
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เผยในปี 2050 จะมีประชากรโลกที่อายุ 60 ปีขึ้นไปสูงขึ้นถึง 2.1 พันล้านคน เมื่อประชากรสูงวัยเพิ่มมากขึ้น จึงมีความต้องการบริการทางการแพทย์ที่สูงขึ้นด้วย - เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำ
การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ (Artificial Intelligence – AI) และ การแพทย์ทางไกล เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาให้กับผู้ป่วย - การให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น (Health Awareness)
การที่ประชากรหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเองมากยิ่งขึ้น จึงมีการใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพเพื่อเป็นตัวช่วยในการดูแลสุขภาพ
เมื่อเราได้รู้จักเทรนด์ที่สนับสนุนแล้วก็ต้องหาโอกาสในการลงทุนต่อไปโดย โอกาสลงทุนใน 5 กลุ่มธุรกิจ Healthcare มีดังนี้
- โรงพยาบาลและสถานพยาบาล
เมื่อประชากรสูงวัยเพิ่มมากขึ้น ความต้องการในการรักษาพยาบาลยิ่งสูงขึ้นตาม จึงต้องเข้าใช้บริการโรงพยาบาลมากยิ่งขึ้น - บริษัทยาและเวชภัณฑ์
บริษัทยาขนาดใหญ่ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย และมีท่อส่งยา (pipeline) ที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงการคิดค้นพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค - บริษัทอุปกรณ์ทางการแพทย์
บริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องมือผ่าตัด เครื่องมือตรวจวินิจฉัย - บริษัทประกัน
บริษัทประกันสุขภาพที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ และมีความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยง - บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ
บริษัทที่พัฒนานวัตกรรมทางชีวภาพใหม่ ๆ
(อ้างอิง Future Trends, กรุงเทพธุรกิจ สืบค้นข้อมูล ณ วันที่ 24 ต.ค. 2567)
จากเหตุผลเบื้องต้น KTAM จึงขอแนะนำกองทุนรวมที่ลงทุนในกลุ่ม Healthcare ตอบรับเทรนด์สังคมเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน
จากเหตุผลเบื้องต้น KTAM จึงขอแนะนำกองทุนรวมที่ลงทุนในกลุ่ม Healthcare ตอบรับเทรนด์สังคมเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน
KT-Healthcare ระดับความเสี่ยง 7
เน้นลงทุนใน Janus Henderson Global Life Sciences Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์การดำเนินชีวิต ซึ่งเกี่ยวกับการรักษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิต สำหรับกองทุนรวม KT-Healthcare มีทั้งชนิดสะสมมูลค่า (A), ชนิดเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
เหมาะกับใคร : ผู้ที่สามารถรับความผันผวนได้และต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพและการแพทย์
รายละเอียดเพิ่มเติม: https://qrcd.org/79IR
จุดเด่น การลงทุนในกองทุนรวม KT-Healthcare
กองทุนหลักเน้นสร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของมูลค่าเงินลงทุนในระยะยาว ผ่านการลงทุนในบริษัททั่วโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences) เกี่ยวข้องกับการรักษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยจะกระจายการลงทุนใน 3 อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมละประมาณ 1 ใน 3 ของพอร์ตการลงทุน ได้แก่ (1) Pharmaceuticals (2) Biotechnology และ (3) Devices & Medical Tech และ Health Care Services ถือว่าแตกต่างจากดัชนีอ้างอิง ที่มีดัชนีหุ้นกลุ่มการแพทย์ทั่วโลก และมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่ม Biotechnology แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
กลยุทธ์การลงทุนของทางกองทุนรวมหลัก
1. ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Barbell Approach (หลักการแบ่งลงทุนในสินทรัพย์ออกเป็น 2 ส่วนที่แตกต่างกัน)
กองทุนมีการปรับสมดุลพอร์ตทั้งในหุ้นกลุ่มที่มีคุณภาพสูง (Defensive) เช่น หุ้นกลุ่ม Biopharma และหุ้นกลุ่ม Managed Care ขนาดใหญ่ และหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสในการเติบโตสูง (Growth) เช่น หุ้นกลุ่ม Biotech ขนาดกลางและขนาดเล็ก
2. เน้นน้ำหนักการลงทุนในกลุ่ม Biotech มากกว่าดัชนีอ้างอิง
กระจายการลงทุนใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ (1) กลุ่ม Pharmaceuticals (2) กลุ่ม Biotechnology และ (3) กลุ่ม Devices & Medical Tech และกลุ่ม Health Care Services แตกต่างจากดัชนีอ้างอิงที่เป็น ดัชนีหุ้นกลุ่มการแพทย์ทั่วโลก มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่ม Biotechnology เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนใน Healthcare
1. ศักยภาพในการเติบโตระยะยาว : หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมชั้นนำที่อยู่ใน Mega Trend ระดับโลก มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องในอนาคต
2. แนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีในอนาคตตามการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของประชากร :
การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้ความต้องการทางการแพทย์ต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นอีกตามไปด้วยนอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันก็มีโรคใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
3. มีการกระจายความเสี่ยง : กองทุนมีการกระจายลงทุนใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เพียงแต่กลุ่มบริการทางการแพทย์ ยังเน้นลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพและอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย ช่วยลดความผันผวนจากการลงทุน
4. มีมืออาชีพคอยบริหารจัดการ : มีผู้จัดการกองทุนคอยวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจ และ จับจังหวะการลงทุนทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ
ที่มา : KTAM และ Janus Henderson (ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ส.ค. 67)
หมายเหตุ : กลยุทธ์การลงทุนนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุนหลักและตามภาวะอุตสาหกรรม
สรุปแล้ว
การลงทุนในกลุ่ม Healthcare เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว จากปัจจัยที่สำคัญต่าง ๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ และความต้องการด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนในกลุ่ม Healthcare มีความน่าสนใจ
คำเตือน : กองทุนมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกปลี่ยนโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการออม กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากลงทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด อาจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเสียเงินเพิ่ม
ลงทุนเลยผ่านแอป KTAM Smart Trade
ลงทุนง่าย สะดวก ปลอดภัย ดาวน์โหลด : https://onelink.to/9a76pb
สอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนที่ ธนาคารกรุงไทย
ผู้สนับสนุนการขาย หรือ บลจ.กรุงไทย
โทร. 02-686-6100 กด 9
เหมาะกับใคร : ผู้ที่สามารถรับความผันผวนได้และต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพและการแพทย์
รายละเอียดเพิ่มเติม: https://qrcd.org/79IR
จุดเด่น การลงทุนในกองทุนรวม KT-Healthcare
กองทุนหลักเน้นสร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของมูลค่าเงินลงทุนในระยะยาว ผ่านการลงทุนในบริษัททั่วโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences) เกี่ยวข้องกับการรักษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยจะกระจายการลงทุนใน 3 อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมละประมาณ 1 ใน 3 ของพอร์ตการลงทุน ได้แก่ (1) Pharmaceuticals (2) Biotechnology และ (3) Devices & Medical Tech และ Health Care Services ถือว่าแตกต่างจากดัชนีอ้างอิง ที่มีดัชนีหุ้นกลุ่มการแพทย์ทั่วโลก และมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่ม Biotechnology แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
กลยุทธ์การลงทุนของทางกองทุนรวมหลัก
1. ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Barbell Approach (หลักการแบ่งลงทุนในสินทรัพย์ออกเป็น 2 ส่วนที่แตกต่างกัน)
กองทุนมีการปรับสมดุลพอร์ตทั้งในหุ้นกลุ่มที่มีคุณภาพสูง (Defensive) เช่น หุ้นกลุ่ม Biopharma และหุ้นกลุ่ม Managed Care ขนาดใหญ่ และหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสในการเติบโตสูง (Growth) เช่น หุ้นกลุ่ม Biotech ขนาดกลางและขนาดเล็ก
2. เน้นน้ำหนักการลงทุนในกลุ่ม Biotech มากกว่าดัชนีอ้างอิง
กระจายการลงทุนใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ (1) กลุ่ม Pharmaceuticals (2) กลุ่ม Biotechnology และ (3) กลุ่ม Devices & Medical Tech และกลุ่ม Health Care Services แตกต่างจากดัชนีอ้างอิงที่เป็น ดัชนีหุ้นกลุ่มการแพทย์ทั่วโลก มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่ม Biotechnology เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนใน Healthcare
1. ศักยภาพในการเติบโตระยะยาว : หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมชั้นนำที่อยู่ใน Mega Trend ระดับโลก มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องในอนาคต
2. แนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีในอนาคตตามการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของประชากร :
การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้ความต้องการทางการแพทย์ต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นอีกตามไปด้วยนอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันก็มีโรคใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
3. มีการกระจายความเสี่ยง : กองทุนมีการกระจายลงทุนใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เพียงแต่กลุ่มบริการทางการแพทย์ ยังเน้นลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพและอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย ช่วยลดความผันผวนจากการลงทุน
4. มีมืออาชีพคอยบริหารจัดการ : มีผู้จัดการกองทุนคอยวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจ และ จับจังหวะการลงทุนทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ
ที่มา : KTAM และ Janus Henderson (ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ส.ค. 67)
หมายเหตุ : กลยุทธ์การลงทุนนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุนหลักและตามภาวะอุตสาหกรรม
สรุปแล้ว
การลงทุนในกลุ่ม Healthcare เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว จากปัจจัยที่สำคัญต่าง ๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ และความต้องการด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนในกลุ่ม Healthcare มีความน่าสนใจ
คำเตือน : กองทุนมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกปลี่ยนโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการออม กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากลงทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด อาจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเสียเงินเพิ่ม
ลงทุนเลยผ่านแอป KTAM Smart Trade
ลงทุนง่าย สะดวก ปลอดภัย ดาวน์โหลด : https://onelink.to/9a76pb
สอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนที่ ธนาคารกรุงไทย
ผู้สนับสนุนการขาย หรือ บลจ.กรุงไทย
โทร. 02-686-6100 กด 9