สหรัฐฯ
สหรัฐเผยตัวเลขเปิดรับสมัครงานต่ำกว่าคาดในเดือนมิ.ย. สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 275,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.437 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.50 ล้านตำแหน่ง ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานได้รับผลกระทบจากนโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจเกิดความลังเลในการจ้างงาน ตัวเลขการจ้างงานลดลง 261,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 5.204 ล้านตำแหน่ง ตัวเลขการปลดออกจากงานลดลง 7,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 1.604 ล้านตำแหน่ง ทั้งนี้ ตัวเลข JOLTS นับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด (อินโฟเควสท์)
Conference Board เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงกว่าคาดในเดือนก.ค. ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้น 2.0 จุด สู่ระดับ 97.2 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 95.0 อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคยังคงมีความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจมุมมองของผู้บริโภค สถานะการเงินส่วนบุคคล การจ้างงาน รวมทั้งความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและในช่วง 6 เดือนข้างหน้า (อินโฟเควสท์)
เจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ ชี้ต้องเจรจาเพิ่มเติม ก่อนปิดดีลการค้ากับอินเดีย เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (28 ก.ค.) ว่า สหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องมีการเจรจาเพิ่มเติมกับอินเดียเพื่อบรรลุข้อตกลงการค้า ก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. เกรียร์ให้สัมภาษณ์ว่า สหรัฐฯ ต้องการหารือเพิ่มเติมเพื่อประเมินว่ารัฐบาลอินเดียเต็มใจแค่ไหนในการทำข้อตกลงทางการค้า โดยชี้ว่านโยบายปกป้องตลาดที่อินเดียยึดมั่นทำให้การลดอุปสรรคทางการค้าเป็นเรื่องท้าทาย เกรียร์ระบุว่า สหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าหารือกับคณะเจรจาอินเดีย และการพูดคุยที่ผ่านมาเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ พร้อมชี้ว่าอินเดียแสดงท่าทีเปิดตลาดบางส่วน ซึ่งสหรัฐฯ ยินดีที่จะเจรจาต่อไป แต่ยังต้องพูดคุยเพิ่มเติมเพื่อประเมินว่าอินเดียพร้อมเปิดตลาดในระดับใด ถ้อยแถลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ความหวังของอินเดียที่จะบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. เริ่มริบหรี่ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถหาจุดร่วมในประเด็นที่เห็นต่างกันได้ แม้อินเดียจะเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ยื่นเรื่องเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เมื่อต้นปี แต่ช่วงหลังกลับมีท่าทีแข็งกร้าวขึ้นในการเจรจา ก่อนหน้านี้ ปิยุช โกยาล รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของอินเดีย ได้แสดงความเชื่อมั่นว่าสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี 26% ได้ พร้อมยืนยันว่าไม่มีประเด็นใดในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่เป็นอุปสรรค (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 204.57 จุด ผิดหวังผลประกอบการ ตลาดจับตาประชุมเฟด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (29 ก.ค.) หลังจากบริษัทรายใหญ่หลายแห่งซึ่งรวมถึงยูไนเต็ดเฮลธ์ (UnitedHealth) เปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้ และรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,632.99 จุด ลดลง 204.57 จุด หรือ -0.46%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,370.86 จุด ลดลง 18.91 จุด หรือ -0.30% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,098.29 จุด ลดลง 80.29 จุด หรือ -0.38% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $2.50 หลังทรัมป์กดดันรัสเซียเร่งยุติสงครามยูเครน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันอังคาร (29 ก.ค.) โดยตลาดได้ปัจจัยบวกจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่ว่าจะใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อกดดันให้รัสเซียเร่งยุติสงครามในยูเครน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า สถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้ารายใหญ่จะคลี่คลายลง ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 2.50 ดอลลาร์ หรือ 3.75% ปิดที่ 69.21 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 2.47 ดอลลาร์ หรือ 3.53% ปิดที่ 72.51 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่า รับความหวังสงครามการค้าคลี่คลาย สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (29 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า สถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้ารายใหญ่จะคลี่คลายลง ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.26% แตะที่ระดับ 98.888 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8055 ฟรังก์ จากระดับ 0.8033 ฟรังก์ในวันจันทร์ (28) และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3767 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3734 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 148.43 เยน จากระดับ 148.56 เยน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $14 จับตาประชุมเฟด, การค้าจีน-สหรัฐฯ สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (29 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้ และยังคงติดตามความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 14 ดอลลาร์ หรือ 0.42% ปิดที่ 3,324.00 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก กลุ่มการเงิน-กลาโหมหนุนตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันอังคาร (29 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มกลาโหม แม้ว่าตลาดหุ้นเดนมาร์กร่วงลงมากที่สุดในรอบปีนี้ เนื่องจากหุ้น Novo Nordisk ร่วงลง หลังบริษัทผู้ผลิตยาลดน้ำหนักรายนี้ได้ประกาศเตือนเรื่องผลกำไร ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 550.36 จุด เพิ่มขึ้น 1.60 จุด หรือ +0.29%เพิ่มขึ้น 247.01 จุด หรือ +1.03% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,136.32 จุด เพิ่มขึ้น 54.88 จุด หรือ +0.60% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 54.88 จุด หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์หนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันอังคาร (29 ก.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ที่ออกมาแบบผสมผสาน และรอการตัดสินใจนโยบายการเงินครั้งถัดไปของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันพุธนี้ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,136.32 จุด เพิ่มขึ้น 54.88 จุด หรือ +0.60% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ราคาข้าวในญี่ปุ่นลดลงต่อเนื่อง 9 สัปดาห์ แต่แนวโน้มชะลอตัว กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ราคาข้าวเฉลี่ยที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน โดยอยู่ที่ 3,585 เยน ต่อ 5 กิโลกรัม ในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ก.ค. แม้ว่าราคาข้าวจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ปรับตัวลงไม่มากนัก โดยขยับลงเพียง 4 เยนจากสัปดาห์ก่อนหน้า แสดงถึงแนวโน้มที่ชะลอตัวลง โดยกระทรวงฯ ระบุว่าเป็นผลมาจากการจำหน่ายข้าวจากคลังสำรองช้าลง ทำให้อิทธิพลที่มีต่อราคาตลาดโดยรวมลดลง กระทรวงฯ ระบุว่า ในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ก.ค. มีข้าวจากคลังสำรองถูกจำหน่ายออกไปทั้งสิ้น 13,108 ตัน โดยปริมาณข้าวจากคลังสำรองที่จำหน่ายออกไปยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนักนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิ.ย. ซึ่งบ่งชี้ว่าอุปทานมีความสมดุลมากขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงฯ รวบรวมข้อมูลราคาข้าวรายสัปดาห์จากซูเปอร์มาร์เก็ตประมาณ 1,000 แห่งทั่วประเทศ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 3 วันติด หลังการเมืองญี่ปุ่นไร้ทิศทาง ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบต่อเนื่องเป็นวันทำการที่ 3 ในวันนี้ (29 ก.ค.) จากแรงเทขายท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ประกอบกับนักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และปัจจัยสำคัญอื่น ๆ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 40,674.55 จุด ลดลง 323.72 จุด หรือ -0.79% (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนทุ่มงบสวัสดิการสังคมสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี หวังกระตุ้นการบริโภค รับแรงกระแทกภาษีทรัมป์ จีนเพิ่มรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมมากที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี ท่ามกลางการขาดดุลงบประมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมุ่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ข้อมูลจากกระทรวงการคลังระบุว่า รายจ่ายภาครัฐด้านสังคมครอบคลุมตั้งแต่การศึกษา การจ้างงาน ไปจนถึงระบบประกันสังคม พุ่งแตะเกือบ 5.7 ล้านล้านหยวน (ราว 7.95 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบรายปี และถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2550 ล่าสุด รัฐบาลจีนก็เพิ่งประกาศมาตรการกระตุ้นการเกิด ด้วยการเปิดตัวโครงการอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีนี้ โดยจะมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวปีละ 3,600 หยวน (ราว 503 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อบุตรหนึ่งคนที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี เพื่อรับมือกับวิกฤตประชากรเกิดใหม่ลดลงและจำนวนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนรายจ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สิ่งแวดล้อม ระบบชลประทาน และคมนาคม ลดลง 4.5% จากปีก่อน ซึ่งสะท้อนการปรับทิศทางของภาครัฐจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มาสู่การกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนเตรียมประชุมในเดือนนี้ เพื่อกำหนดทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ท่ามกลางการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังดำเนินต่อไป (อินโฟเควสท์)
ทีมเจรจาสหรัฐเตรียมชงเรื่องให้ "ทรัมป์" อนุมัติขยายเวลาสงบศึกการค้ากับจีน เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนได้เสร็จสิ้นการเจรจาการค้าที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ในวันนี้แล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะขยายระยะเวลาการระงับขึ้นภาษีศุลกากรระหว่างกันออกไป หลังการเจรจาเป็นเวลาสองวัน ซึ่งเป็นการเจรจาการค้ารอบที่ 3 ของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ประกาศความคืบหน้าในการเจรจา หรือกำหนดเวลาที่ชัดเจนของการขยายเวลาการระงับการขึ้นภาษีแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และนายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้พบปะกับนายเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 12 พ.ค. ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้สหรัฐลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีนสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% ขณะที่จีนลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125% โดยระยะเวลาผ่อนผัน 90 วันดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 12 ส.ค. นายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ กล่าวว่า คณะเจรจาของสหรัฐกำลังจะเดินทางกลับกรุงวอชิงตัน ดีซี และจะหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการอนุมัติการขยายเวลาผ่อนผันการขึ้นภาษีศุลกากรกับจีน ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันว่า คณะเจรจาการค้าของสหรัฐจะรายงานสรุปเกี่ยวกับการเจรจาการค้ากับจีนในวันพุธนี้ (อินโฟเควสท์)
ราคาแร่เหล็กฟื้นตัว รับความหวังจีน-สหรัฐฯ ขยายเส้นตายภาษีการค้า ราคาแร่เหล็กดีดตัวขึ้นในวันนี้ (29 ก.ค.) หลังจากโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะขยายระยะเวลาพักรบทางการค้ากับจีนออกไปอีก 90 วัน ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของภาษีศุลกากรที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลก สัญญาแร่เหล็กดีดตัวขึ้น 2% แตะที่ระดับ 102.85 ดอลลาร์/ตัน เมื่อเวลา 12.20 น.ตามเวลาสิงคโปร์ในวันนี้ ส่วนสัญญาณแร่เหล็กสกุลเงินหยวนที่ตลาดต้าเหลียนดีดตัวขึ้น เช่นเดียวกับสัญญาเหล็กที่มีการซื้อขายในตลาดเซี่ยงไฮ้ ทั้งนี้ แม้สหรัฐฯ ไม่ใช่ผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ของจีน แต่การขยายเส้นตายการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม และจะเป็นปัจจัยหนุนความต้องการวัตถุดิบด้านอุตสาหกรรม สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน พบปะหารือกันที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เป็นเวลานานกว่าห้าชั่วโมงในวันจันทร์ (28 ก.ค.) และจะเจรจากันต่อในวันนี้ ขณะที่ตลาดคาดหวังว่าทั้งสองประเทศอาจตกลงที่จะขยายเส้นตายการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 12 ส.ค. ก่อนหน้านี้ เบสเซนต์ได้พบปะกับเหอที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 12 พ.ค. ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีนสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% ขณะที่จีนลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125% โดยระยะเวลาผ่อนผัน 90 วันดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 12 ส.ค. แม้ราคาแร่เหล็กมีความผันผวนอย่างมากในปี 2568 แต่ขณะนี้ราคาแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงต้นปีและเพิ่งทำสถิติปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ห้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์ที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2566 โดยส่วนใหญ่ได้แรงหนุนจากมุมมองบวกต่อการที่จีนพยายามขจัดการผลิตที่ล้าสมัยในบางภาคส่วนอุตสาหกรรม (อินโฟเควสท์)
จีนทุ่มงบอุดหนุนเลี้ยงดูบุตรทั่วประเทศ แก้ปัญหาประชากรลด-สังคมสูงวัย รัฐบาลจีนประกาศมาตรการกระตุ้นการเกิดครั้งสำคัญเมื่อวันจันทร์ (28 ก.ค.) ด้วยการเปิดตัวโครงการอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีนี้ โดยจะมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวปีละ 3,600 หยวน (ราว 503 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อบุตรหนึ่งคนที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี เพื่อรับมือกับวิกฤตประชากรเกิดใหม่ลดลงและจำนวนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภายใต้นโยบายใหม่นี้ ซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมกว่า 20 ล้านครอบครัวทั่วประเทศ เงินอุดหนุนดังกล่าวจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และจะไม่ถูกนับรวมเป็นรายได้เมื่อพิจารณาการให้ความช่วยเหลือสวัสดิการอื่น ๆ เช่น เบี้ยยังชีพ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายทางประชากรศาสตร์ของจีน โดยอัตราการเกิดลดลงต่อเนื่อง 7 ปี ก่อนจะฟื้นตัวเล็กน้อยในปี 2567 ขณะที่จำนวนประชากรวัย 60 ปีขึ้นไปพุ่งสูงถึง 310 ล้านคน ณ สิ้นปีที่แล้ว มาตรการนี้จึงเป็นความพยายามล่าสุดต่อจากการผ่อนคลายนโยบายวางแผนครอบครัวอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา รวมถึงการยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวในปี 2559 และการสนับสนุนให้มีบุตรคนที่สามในปี 2564 ทั้งนี้ รัฐบาลจีนยังได้เดินหน้ามาตรการสนับสนุนอื่น ๆ ควบคู่กันไป โดยล่าสุดได้มีคำสั่งให้รัฐบาลท้องถิ่นเร่งจัดทำแผนการศึกษาปฐมวัยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และขยายบริการสถานรับเลี้ยงเด็กสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เพื่อลดภาระของผู้ปกครองและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 11.77 จุด รับความหวังจีน-สหรัฐฯ ขยายเส้นตายการค้า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (29 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าจีนและสหรัฐฯ จะสามารถบรรลุข้อตกลงขยายระยะเวลาพักรบทางการค้าออกไปอีก 90 วัน ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,609.71 จุด เพิ่มขึ้น 11.77 จุด หรือ +0.33% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 37.68 จุด จับตาประชุมเฟด, PMI จีน ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (29 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันจันทร์ (28 ก.ค.) ว่า ประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้ทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 15%-20% ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งสูงกว่าอัตราภาษีทั่วไปที่ 10% ที่ทรัมป์ได้ประกาศใช้ไปเมื่อเดือนเม.ย. ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,524.45 จุด ลดลง 37.68 จุด หรือ -0.15% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.0% ปีนี้/3.1% ปีหน้า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ในวันนี้ โดยได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจโลกประจำปีนี้ ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.0% ในปี 2568 เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย.ที่ระดับ 2.8% หลังจากที่มีการขยายตัว 3.3% ในปี 2567 นอกจากนี้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.1% ในปี 2569 จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 3.0% ขณะเดียวกัน IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 1.9% ในปีนี้ จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.8% และคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะมีการขยายตัว 4.8% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 4.0% ขณะที่คาดว่ายูโรโซนจะขยายตัว 1.0% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 0.8% (อินโฟเควสท์)
อินโดนีเซียเผยยอด FDI ลดลง 6.95% ใน Q2/68 ดิ่งหนักสุดในรอบ 5 ปี กระทรวงการลงทุนของอินโดนีเซียเปิดเผยในวันอังคาร (29 ก.ค.) ว่า ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของอินโดนีเซียปรับตัวลง 6.95% ไตรมาส 2/2568 เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 202.2 ล้านล้านรูเปียห์ (1.23 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2563 กระทรวการลงทุนระบุว่า ภาคส่วนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก FDI ในช่วงเดือนเม.ย.ถึงมิ.ย. ได้แก่ อุตสาหกรรมโลหะพื้นฐาน อุตสาหกรรมเหมือง ธุรกิจบริการ การขนส่ง คลังสินค้า และโทรคมนาคม ทั้งนี้ ข้อมูล FDI ไตรมาส 2/2568 ดังกล่าวไม่นับรวมการลงทุนในภาคธนาคาร และในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ เมื่อรวมกับการลงทุนโดยตรงภายในประเทศแล้ว อินโดนีเซียมียอดรวมการลงทุนโดยตรงทั้งสิ้น 477.7 ล้านล้านรูเปียห์ในไตรมาส 2/2568 ซึ่งสร้างงานได้ 665,764 ตำแหน่ง รายงานของกระทรวงยังระบุด้วยว่า สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีนเป็นแหล่ง FDI รายใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซียในไตรมาส 2/2568 (อินโฟเควสท์)
อินเดียขึ้นแท่นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนส่งออกสหรัฐฯ มากที่สุดใน Q2/68 อินเดียแซงหน้าจีนขึ้นแท่นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนหลักสำหรับตลาดสหรัฐฯ หลังจากที่แอปเปิ้ล (Apple) ได้ขยายฐานการประกอบไอโฟนเข้าสู่อินเดียมากขึ้น ขณะที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายอื่น ๆ ก็ได้กระจายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนไปยังประเทศอื่น ๆ อย่างอินเดียและเวียดนามเช่นกัน เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ข้อมูลจากบริษัทวิจัยคานาลิส (Canalys) บ่งชี้ว่า ในไตรมาสสองของปีนี้ อินเดียขึ้นแท่นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากที่สุดเป็นครั้งแรก คิดเป็นสัดส่วน 44% ขณะที่เวียดนามมาเป็นอันดับ 2 ส่วนจีนซึ่งเคยครองตลาดมากกว่า 60% เมื่อปีที่แล้ว ลดลงเหลือเพียง 25% รายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางการเร่งผลิตของแอปเปิ้ลในอินเดีย ประกอบกับผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายอื่น ๆ เร่งเติมสต็อกสินค้าไว้ล่วงหน้าท่ามกลางความกังวลเรื่องภาษีนำเข้า ส่งผลให้ปริมาณสมาร์ตโฟนที่ผลิตในอินเดียเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยแสดงความไม่พอใจและเรียกร้องให้บริษัทเหล่านี้เพิ่มการผลิตในสหรัฐฯ แม้แอปเปิ้ลจะยังคงผลิตไอโฟนส่วนใหญ่ในจีนและไม่มีฐานการผลิตสมาร์ตโฟนในสหรัฐฯ แต่ก็ได้ประกาศแผนเพิ่มการจ้างงานในสหรัฐฯ รวมถึงแผนลงทุนภายในสหรัฐฯ กว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีข้างหน้า (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ขู่ถล่มโครงการนิวเคลียร์อิหร่านซ้ำ หากยังเดินหน้าฟื้นฟู ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เตือนว่า ตนพร้อมสั่งโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอีกครั้ง หากอิหร่านพยายามเดินหน้าฟื้นฟูโรงงานที่ถูกสหรัฐฯ ถล่มไปเมื่อเดือนก่อน ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ระหว่างการพบปะกับเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่สนามกอล์ฟในสกอตแลนด์ เมื่อวันจันทร์ (28 ก.ค.) ว่า อิหร่านกำลังส่งสัญญาณอันตราย พร้อมกับเตือนว่า สหรัฐฯ จะตอบโต้ทันที หากมีความพยายามใด ๆ ที่จะรื้อฟื้นโครงการนิวเคลียร์ ทรัมป์ระบุว่า สหรัฐฯ ทำลายขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านไปหมดสิ้นแล้ว หากพวกเขาคิดจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เราจะทำลายให้เร็วกว่าเดิมเสียอีก ขณะเดียวกัน อิหร่าน ซึ่งปฏิเสธข้อกล่าวหาว่ามีแผนพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ย้ำว่าจะไม่ยุติการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมภายในประเทศ แม้จะมีการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งก่อนหน้านี้ อับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า อิหร่านตระหนักดีถึงผลกระทบจากการรุกรานของสหรัฐฯ และอิสราเอล พร้อมเตือนว่าหากเกิดการโจมตีอีกครั้ง อิหร่านจะตอบโต้ด้วยวิธีที่เด็ดขาดในลักษณะที่ปิดบังไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมใด ๆ ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีสถานที่นิวเคลียร์หลายแห่งในอิหร่าน โดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่อิหร่านยืนยันว่าโครงการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อการพลเรือนเท่านั้น (อินโฟเควสท์)
โฆษกกลาโหมกัมพูชาโต้ไทย ปัดข่าวละเมิดข้อตกลงหยุดยิง สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงกลาโหมกัมพูชาแถลงปฏิเสธข้อกล่าวหาของกองทัพไทย ที่ระบุว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงด้วยการโจมตีไทย หลังข้อตกลงมีผลบังคับใช้ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเมื่อคืนที่ผ่านมา พลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงต่อสื่อมวลชนในวันนี้ (29 ก.ค.) ว่า "ในนามของกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ดิฉันขอปฏิเสธคำกล่าวอ้างของโฆษกกองทัพไทยที่ว่าเกิดการปะทะกันขึ้น อันเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง" โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวย้ำว่า กองทัพกัมพูชายึดมั่นและปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ที่ผ่านมา (28 ก.ค.) ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ในนามรัฐบาลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยืนยันว่า รัฐบาลไทยมีความจริงใจ และใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะยุติสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเร็วที่สุด โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชน และยึดถืออำนาจอธิปไตยของประเทศเป็นสำคัญ รวมทั้งชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และทหารของชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความหวังร่วมกันของประชาคมโลก ที่จะคืนสันติภาพแก่ประชาชาชนทั้ง 2 ประเทศ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex พุ่งกว่า 400 จุด ซื้อเก็งกำไรหนุนตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้นกว่า 400 จุด โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อเก็งกำไร หลังตลาดปรับตัวลงติดต่อกัน 3 วันทำการ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,337.95 บวก 446.93 จุด หรือ 0.55% หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ (อินโฟเควสท์)
ไทย
7 เดือนแรกปีนี้ ต่างชาติเที่ยวไทยเฉียด 19 ล้านคน จีนเริ่มทยอยกลับมา นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยว ล่าสุดประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-27 ก.ค. 68 ทั้งสิ้น 18,983,936 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 879,977 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 2,635,810 คน มาเลเซีย 2,622,672 คน อินเดีย 1,352,774 คน รัสเซีย 1,105,719 คน และเกาหลีใต้ 881,288 คน โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-27 ก.ค. 68) นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการท่องเที่ยวในช่วง Summer holiday โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ ที่เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากกว่า 21.31% และนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ที่เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นผ่านช่องทางบก จากการท่องเที่ยวในรูปแบบครอบครัว และการขับรถท่องเที่ยวแบบกลุ่ม Big Bike ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาพรวมมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 618,285 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 6,689 คน หรือ 1.09% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 88,327 คน โดย 5 อันดับแรก ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน 102,631 คน มาเลเซีย 84,743 คน อินเดีย 44,024 คน เกาหลีใต้ 35,602 คน และไต้หวัน 20,890 คน (อินโฟเควสท์)
*รมว.คลัง ลั่นพร้อมเดินหน้าเจรจาภาษีสหรัฐหลังไทย-กัมพูชาหยุดยิง มั่นใจได้ต่ำกว่า 36% นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ไทยพร้อมที่จะเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ ทันทีที่กลับมาเปิดโต๊ะเจรจาหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าจะเดินหน้าเจรจาเมื่อทั้งฝ่ายไทย-กัมพูชามีข้อตกลงหยุดยิง โดยฝ่ายไทยยังเชื่อมั่นว่าสหรัฐจะกำหนดอัตราภาษีไทยต่ำกว่า 36% รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวว่า เป็นที่ทราบว่าสหรัฐฯ เปิดทางให้เจรจาต่อแล้ว ซึ่งทันทีที่สหรัฐฯ เปิดเราก็ติดต่อไปในวันนี้เพื่อคุยต่อเนื่อง เชื่อทันตามข้อกำหนดของสหรัฐแน่นอน และจะต้องรอดูว่าสหรัฐจะตัดสินใจอย่างไร ทั้งนี้ หากจะมีการเจรจาร่วมกันก็คงเป็นการพูดคุยกันในระดับของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พร้อมระบุว่า โดยหลักการทั้งหมดแล้วไทยยังเจรจาต่อเนื่อง ซึ่งสหรัฐฯ ได้เห็นข้อเสนอและหลักการของฝ่ายไทยครบหมดแล้ว โดยได้หารือกันไปในแต่ละข้อ ซึ่งหลายข้อได้จบไปแล้ว โดยยังเหลืออีกเพียงบางข้อที่ต้องตกลงกัน พร้อมระบุว่า ไทยมีหน้าที่นำเสนอและตกลงให้ได้ ส่วนการจะประกาศผลออกมาอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของสหรัฐฯ ส่วนความหนักใจที่มีประเด็นชายแดนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐด้วยนั้น นายพิชัย ยอมรับว่า เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากในเรื่องความมั่นคงของประเทศ ซึ่งความมั่นคงของประเทศก็ต้องให้ความสำคัญควบคู่ไปกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ส่วนที่ในเช้านี้ พบว่ายังคงมีการปะทะกันที่บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ หรือไม่นั้น นายพิชัย เชื่อว่า ผู้ประเมินคงเข้าใจสถานการณ์ว่าการปะทะกันคงจะไม่ได้หยุดสนิททีเดียว ต้องดูสถานการณ์ต่อไป ถ้าสถานการณ์ไม่คลี่คลายตามที่ตกลงกันไว้ จะมีการขยายเวลาการผ่อนผันออกไปหรือไม่นั้น นายพิชัย กล่าวว่า ไทยพร้อมเจรจาอยู่ตลอด ส่วนเงื่อนไขจะได้เจรจาต่อหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทางสหรัฐฯ มากกว่า (อินโฟเควสท์)
คลัง เล็งออกมาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยวชุดใหม่ไม่เกิน ก.ย.นี้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางหรือมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเบื้องต้นอาจจะมีการผลักดันมาตรการในการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ซึ่งอาจเป็นในรูปแบบของมาตการทางภาษี โดยขณะนี้กำลังหารือร่วมกันในรายละเอียดอย่างเข้มข้นกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมมองว่า หลังจากได้ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงที่ผ่านมา น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยทำให้สถานการณ์ความเชื่อมั่นในภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้มีหลายข่าวที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดความวิตกกังวล ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับเปลี่ยนวิธีการที่จะทำให้มีความปลอดภัยขึ้น รัดกุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยในเรื่องความรู้สึกของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เกี่ยวกับแนวทางการออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวเพิ่มเติม โดยที่ผ่านมาได้เคยหารือเบื้องต้นไปแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการรอรายละเอียด และความชัดเจนว่ากลุ่มจังหวัดเป้าหมายหลักจะเป็นกลุ่มใด จะทำทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทำเฉพาะเมืองหลัก หรือเฉพาะเมืองรอง ส่วนนี้ยังรอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งพิจารณาหาข้อสรุปก่อน ในส่วนของกรมสรรพากร ยืนยันว่ามีระบบและมีความพร้อมที่จะดำเนินการอยู่แล้ว หลักการเบื้องต้นจะเป็นระบบ e-Tax เหมือนที่เคยดำเนินการไปรอบก่อน หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งตอบกลับในรายละเอียดก็คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปและจะได้เห็นมาตรการเพิ่มเติมโดยเร็ว ก่อนหน้านี้ ได้มีการดำเนินมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศปี 67 หรือมาตรการภาษี e-Tax Invoice (เที่ยวเมืองรอง) โดยการใช้หลักฐานใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากรจากระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e- Receipt) ของกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.-30 พ.ย.67 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 16.53 จุดตอบรับไทย-กัมพูชาหยุดยิง ลุ้นผลเจรจาข้อสรุปภาษีสหรัฐ 15-20% SET ปิดวันนี้ที่ 1,233.68 จุด เพิ่มขึ้น 16.53 จุด (+1.36%) มูลค่าซื้อขาย 51,323.28 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยรีบาวด์จากแรงหนุนไทย-กัมพูชาตกลงหยุดยิง และคาดหวังว่าไทยได้ข้อสรุปอัตราภาษีสหรัฐช่วง 15-20% จึงต้องติดตามผลการเจรจาก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดพักตัว แนะติดตามตัวเลข Job Openings ของสหรัฐฯ รวมทั้งการประชุมเฟดเช้าวันที่ 31 ก.ค. ให้แนวรับ 1,223 จุด แนวต้าน 1,243 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,233.68 จุด เพิ่มขึ้น 16.53 จุด (+1.36%) มูลค่าซื้อขาย 51,323.28 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งผันผวนในช่วงเช้าก่อนดีดขึ้นแรงในภาคบ่าย โดยทำระดับสูงสุด 1,235.19 จุด และต่ำสุด 1,213.87 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 327 หลักทรัพย์ ลดลง 140 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 190 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 107,544 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 107,544 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 41,807 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 702 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 72 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.33% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.01% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 2-3 bps. ในตราสารระยะยาว สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 64 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 72 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) 8 ล้านบาท ด้านปัจจัยต่างประเทศ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) โดยจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก EU ในอัตรา 15% ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่จะเรียกเก็บในอัตรา 30% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.43/44 อ่อนค่าสุดในภูมิภาค ตลาดรอตัวเลขจ้างงานสหรัฐ คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.30-32.65 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 32.43/44 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 32.44 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ ระหว่างวันเงินบาทยังไร้ปัจจัยใหม่ โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 32.42 - 32.50 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวอ่อนค่าไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยเงินบาทอ่อนค่าสุดในภูมิภาค "ปัจจัยเรื่องความขัดแย้งชายแดนไทยและกัมพูชา ค่อนข้างมีผลจำกัดต่อเงินบาท เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้มีข่าวการหยุดยิงตอนเที่ยงคืน แต่สถานการณ์จริง ก็ยังไม่ได้มีการหยุดยิง และล่าสุดสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ออกมาโพสต์ขอบคุณที่ไทยและกัมพูชาทำข้อตกลงในการหยุดยิงด้วย" นักบริหารเงิน ระบุ สำหรับคืนนี้ รอติดตามตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน และอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนมิ.ย.ของสหรัฐฯ นักบริหารเงิน คาดว่า วันพรุ่งนี้ เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.30 - 32.65 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เดือนมิ.ย. จีน
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 (ประมาณการเบื้องต้น) อียู
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค. อียู
ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ค.จาก ADP สหรัฐฯ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 (ประมาณการเบื้องต้น) สหรัฐฯ
ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) เดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐฯ
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ
สหรัฐเผยตัวเลขเปิดรับสมัครงานต่ำกว่าคาดในเดือนมิ.ย. สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 275,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.437 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.50 ล้านตำแหน่ง ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานได้รับผลกระทบจากนโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจเกิดความลังเลในการจ้างงาน ตัวเลขการจ้างงานลดลง 261,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 5.204 ล้านตำแหน่ง ตัวเลขการปลดออกจากงานลดลง 7,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 1.604 ล้านตำแหน่ง ทั้งนี้ ตัวเลข JOLTS นับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด (อินโฟเควสท์)
Conference Board เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงกว่าคาดในเดือนก.ค. ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้น 2.0 จุด สู่ระดับ 97.2 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 95.0 อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคยังคงมีความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจมุมมองของผู้บริโภค สถานะการเงินส่วนบุคคล การจ้างงาน รวมทั้งความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและในช่วง 6 เดือนข้างหน้า (อินโฟเควสท์)
เจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ ชี้ต้องเจรจาเพิ่มเติม ก่อนปิดดีลการค้ากับอินเดีย เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (28 ก.ค.) ว่า สหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องมีการเจรจาเพิ่มเติมกับอินเดียเพื่อบรรลุข้อตกลงการค้า ก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. เกรียร์ให้สัมภาษณ์ว่า สหรัฐฯ ต้องการหารือเพิ่มเติมเพื่อประเมินว่ารัฐบาลอินเดียเต็มใจแค่ไหนในการทำข้อตกลงทางการค้า โดยชี้ว่านโยบายปกป้องตลาดที่อินเดียยึดมั่นทำให้การลดอุปสรรคทางการค้าเป็นเรื่องท้าทาย เกรียร์ระบุว่า สหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าหารือกับคณะเจรจาอินเดีย และการพูดคุยที่ผ่านมาเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ พร้อมชี้ว่าอินเดียแสดงท่าทีเปิดตลาดบางส่วน ซึ่งสหรัฐฯ ยินดีที่จะเจรจาต่อไป แต่ยังต้องพูดคุยเพิ่มเติมเพื่อประเมินว่าอินเดียพร้อมเปิดตลาดในระดับใด ถ้อยแถลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ความหวังของอินเดียที่จะบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. เริ่มริบหรี่ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถหาจุดร่วมในประเด็นที่เห็นต่างกันได้ แม้อินเดียจะเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ยื่นเรื่องเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เมื่อต้นปี แต่ช่วงหลังกลับมีท่าทีแข็งกร้าวขึ้นในการเจรจา ก่อนหน้านี้ ปิยุช โกยาล รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของอินเดีย ได้แสดงความเชื่อมั่นว่าสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี 26% ได้ พร้อมยืนยันว่าไม่มีประเด็นใดในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่เป็นอุปสรรค (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 204.57 จุด ผิดหวังผลประกอบการ ตลาดจับตาประชุมเฟด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (29 ก.ค.) หลังจากบริษัทรายใหญ่หลายแห่งซึ่งรวมถึงยูไนเต็ดเฮลธ์ (UnitedHealth) เปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้ และรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,632.99 จุด ลดลง 204.57 จุด หรือ -0.46%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,370.86 จุด ลดลง 18.91 จุด หรือ -0.30% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,098.29 จุด ลดลง 80.29 จุด หรือ -0.38% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $2.50 หลังทรัมป์กดดันรัสเซียเร่งยุติสงครามยูเครน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันอังคาร (29 ก.ค.) โดยตลาดได้ปัจจัยบวกจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่ว่าจะใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อกดดันให้รัสเซียเร่งยุติสงครามในยูเครน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า สถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้ารายใหญ่จะคลี่คลายลง ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 2.50 ดอลลาร์ หรือ 3.75% ปิดที่ 69.21 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 2.47 ดอลลาร์ หรือ 3.53% ปิดที่ 72.51 ดอลลาร์/บาร์เรล (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่า รับความหวังสงครามการค้าคลี่คลาย สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (29 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า สถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้ารายใหญ่จะคลี่คลายลง ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.26% แตะที่ระดับ 98.888 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8055 ฟรังก์ จากระดับ 0.8033 ฟรังก์ในวันจันทร์ (28) และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3767 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3734 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 148.43 เยน จากระดับ 148.56 เยน (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $14 จับตาประชุมเฟด, การค้าจีน-สหรัฐฯ สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (29 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้ และยังคงติดตามความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 14 ดอลลาร์ หรือ 0.42% ปิดที่ 3,324.00 ดอลลาร์/ออนซ์ (อินโฟเควสท์)
ยุโรป
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก กลุ่มการเงิน-กลาโหมหนุนตลาด ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันอังคาร (29 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มกลาโหม แม้ว่าตลาดหุ้นเดนมาร์กร่วงลงมากที่สุดในรอบปีนี้ เนื่องจากหุ้น Novo Nordisk ร่วงลง หลังบริษัทผู้ผลิตยาลดน้ำหนักรายนี้ได้ประกาศเตือนเรื่องผลกำไร ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 550.36 จุด เพิ่มขึ้น 1.60 จุด หรือ +0.29%เพิ่มขึ้น 247.01 จุด หรือ +1.03% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,136.32 จุด เพิ่มขึ้น 54.88 จุด หรือ +0.60% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 54.88 จุด หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์หนุนตลาด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันอังคาร (29 ก.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ที่ออกมาแบบผสมผสาน และรอการตัดสินใจนโยบายการเงินครั้งถัดไปของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันพุธนี้ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,136.32 จุด เพิ่มขึ้น 54.88 จุด หรือ +0.60% (อินโฟเควสท์)
ญี่ปุ่น
ราคาข้าวในญี่ปุ่นลดลงต่อเนื่อง 9 สัปดาห์ แต่แนวโน้มชะลอตัว กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ราคาข้าวเฉลี่ยที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน โดยอยู่ที่ 3,585 เยน ต่อ 5 กิโลกรัม ในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ก.ค. แม้ว่าราคาข้าวจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ปรับตัวลงไม่มากนัก โดยขยับลงเพียง 4 เยนจากสัปดาห์ก่อนหน้า แสดงถึงแนวโน้มที่ชะลอตัวลง โดยกระทรวงฯ ระบุว่าเป็นผลมาจากการจำหน่ายข้าวจากคลังสำรองช้าลง ทำให้อิทธิพลที่มีต่อราคาตลาดโดยรวมลดลง กระทรวงฯ ระบุว่า ในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ก.ค. มีข้าวจากคลังสำรองถูกจำหน่ายออกไปทั้งสิ้น 13,108 ตัน โดยปริมาณข้าวจากคลังสำรองที่จำหน่ายออกไปยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนักนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิ.ย. ซึ่งบ่งชี้ว่าอุปทานมีความสมดุลมากขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงฯ รวบรวมข้อมูลราคาข้าวรายสัปดาห์จากซูเปอร์มาร์เก็ตประมาณ 1,000 แห่งทั่วประเทศ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 3 วันติด หลังการเมืองญี่ปุ่นไร้ทิศทาง ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบต่อเนื่องเป็นวันทำการที่ 3 ในวันนี้ (29 ก.ค.) จากแรงเทขายท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ประกอบกับนักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และปัจจัยสำคัญอื่น ๆ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 40,674.55 จุด ลดลง 323.72 จุด หรือ -0.79% (อินโฟเควสท์)
จีน
จีนทุ่มงบสวัสดิการสังคมสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี หวังกระตุ้นการบริโภค รับแรงกระแทกภาษีทรัมป์ จีนเพิ่มรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมมากที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี ท่ามกลางการขาดดุลงบประมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมุ่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ข้อมูลจากกระทรวงการคลังระบุว่า รายจ่ายภาครัฐด้านสังคมครอบคลุมตั้งแต่การศึกษา การจ้างงาน ไปจนถึงระบบประกันสังคม พุ่งแตะเกือบ 5.7 ล้านล้านหยวน (ราว 7.95 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบรายปี และถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2550 ล่าสุด รัฐบาลจีนก็เพิ่งประกาศมาตรการกระตุ้นการเกิด ด้วยการเปิดตัวโครงการอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีนี้ โดยจะมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวปีละ 3,600 หยวน (ราว 503 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อบุตรหนึ่งคนที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี เพื่อรับมือกับวิกฤตประชากรเกิดใหม่ลดลงและจำนวนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนรายจ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สิ่งแวดล้อม ระบบชลประทาน และคมนาคม ลดลง 4.5% จากปีก่อน ซึ่งสะท้อนการปรับทิศทางของภาครัฐจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มาสู่การกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนเตรียมประชุมในเดือนนี้ เพื่อกำหนดทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ท่ามกลางการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังดำเนินต่อไป (อินโฟเควสท์)
ทีมเจรจาสหรัฐเตรียมชงเรื่องให้ "ทรัมป์" อนุมัติขยายเวลาสงบศึกการค้ากับจีน เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนได้เสร็จสิ้นการเจรจาการค้าที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ในวันนี้แล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะขยายระยะเวลาการระงับขึ้นภาษีศุลกากรระหว่างกันออกไป หลังการเจรจาเป็นเวลาสองวัน ซึ่งเป็นการเจรจาการค้ารอบที่ 3 ของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ประกาศความคืบหน้าในการเจรจา หรือกำหนดเวลาที่ชัดเจนของการขยายเวลาการระงับการขึ้นภาษีแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และนายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้พบปะกับนายเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 12 พ.ค. ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้สหรัฐลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีนสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% ขณะที่จีนลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125% โดยระยะเวลาผ่อนผัน 90 วันดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 12 ส.ค. นายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ กล่าวว่า คณะเจรจาของสหรัฐกำลังจะเดินทางกลับกรุงวอชิงตัน ดีซี และจะหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการอนุมัติการขยายเวลาผ่อนผันการขึ้นภาษีศุลกากรกับจีน ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันว่า คณะเจรจาการค้าของสหรัฐจะรายงานสรุปเกี่ยวกับการเจรจาการค้ากับจีนในวันพุธนี้ (อินโฟเควสท์)
ราคาแร่เหล็กฟื้นตัว รับความหวังจีน-สหรัฐฯ ขยายเส้นตายภาษีการค้า ราคาแร่เหล็กดีดตัวขึ้นในวันนี้ (29 ก.ค.) หลังจากโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะขยายระยะเวลาพักรบทางการค้ากับจีนออกไปอีก 90 วัน ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของภาษีศุลกากรที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลก สัญญาแร่เหล็กดีดตัวขึ้น 2% แตะที่ระดับ 102.85 ดอลลาร์/ตัน เมื่อเวลา 12.20 น.ตามเวลาสิงคโปร์ในวันนี้ ส่วนสัญญาณแร่เหล็กสกุลเงินหยวนที่ตลาดต้าเหลียนดีดตัวขึ้น เช่นเดียวกับสัญญาเหล็กที่มีการซื้อขายในตลาดเซี่ยงไฮ้ ทั้งนี้ แม้สหรัฐฯ ไม่ใช่ผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ของจีน แต่การขยายเส้นตายการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม และจะเป็นปัจจัยหนุนความต้องการวัตถุดิบด้านอุตสาหกรรม สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน พบปะหารือกันที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เป็นเวลานานกว่าห้าชั่วโมงในวันจันทร์ (28 ก.ค.) และจะเจรจากันต่อในวันนี้ ขณะที่ตลาดคาดหวังว่าทั้งสองประเทศอาจตกลงที่จะขยายเส้นตายการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 12 ส.ค. ก่อนหน้านี้ เบสเซนต์ได้พบปะกับเหอที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 12 พ.ค. ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีนสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% ขณะที่จีนลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125% โดยระยะเวลาผ่อนผัน 90 วันดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 12 ส.ค. แม้ราคาแร่เหล็กมีความผันผวนอย่างมากในปี 2568 แต่ขณะนี้ราคาแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงต้นปีและเพิ่งทำสถิติปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ห้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์ที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2566 โดยส่วนใหญ่ได้แรงหนุนจากมุมมองบวกต่อการที่จีนพยายามขจัดการผลิตที่ล้าสมัยในบางภาคส่วนอุตสาหกรรม (อินโฟเควสท์)
จีนทุ่มงบอุดหนุนเลี้ยงดูบุตรทั่วประเทศ แก้ปัญหาประชากรลด-สังคมสูงวัย รัฐบาลจีนประกาศมาตรการกระตุ้นการเกิดครั้งสำคัญเมื่อวันจันทร์ (28 ก.ค.) ด้วยการเปิดตัวโครงการอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีนี้ โดยจะมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวปีละ 3,600 หยวน (ราว 503 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อบุตรหนึ่งคนที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี เพื่อรับมือกับวิกฤตประชากรเกิดใหม่ลดลงและจำนวนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภายใต้นโยบายใหม่นี้ ซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมกว่า 20 ล้านครอบครัวทั่วประเทศ เงินอุดหนุนดังกล่าวจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และจะไม่ถูกนับรวมเป็นรายได้เมื่อพิจารณาการให้ความช่วยเหลือสวัสดิการอื่น ๆ เช่น เบี้ยยังชีพ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายทางประชากรศาสตร์ของจีน โดยอัตราการเกิดลดลงต่อเนื่อง 7 ปี ก่อนจะฟื้นตัวเล็กน้อยในปี 2567 ขณะที่จำนวนประชากรวัย 60 ปีขึ้นไปพุ่งสูงถึง 310 ล้านคน ณ สิ้นปีที่แล้ว มาตรการนี้จึงเป็นความพยายามล่าสุดต่อจากการผ่อนคลายนโยบายวางแผนครอบครัวอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา รวมถึงการยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวในปี 2559 และการสนับสนุนให้มีบุตรคนที่สามในปี 2564 ทั้งนี้ รัฐบาลจีนยังได้เดินหน้ามาตรการสนับสนุนอื่น ๆ ควบคู่กันไป โดยล่าสุดได้มีคำสั่งให้รัฐบาลท้องถิ่นเร่งจัดทำแผนการศึกษาปฐมวัยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และขยายบริการสถานรับเลี้ยงเด็กสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เพื่อลดภาระของผู้ปกครองและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัย (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นจีน: เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดบวก 11.77 จุด รับความหวังจีน-สหรัฐฯ ขยายเส้นตายการค้า ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (29 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าจีนและสหรัฐฯ จะสามารถบรรลุข้อตกลงขยายระยะเวลาพักรบทางการค้าออกไปอีก 90 วัน ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 3,609.71 จุด เพิ่มขึ้น 11.77 จุด หรือ +0.33% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นฮ่องกง: ฮั่งเส็งปิดลบ 37.68 จุด จับตาประชุมเฟด, PMI จีน ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบในวันนี้ (29 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันจันทร์ (28 ก.ค.) ว่า ประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้ทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 15%-20% ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งสูงกว่าอัตราภาษีทั่วไปที่ 10% ที่ทรัมป์ได้ประกาศใช้ไปเมื่อเดือนเม.ย. ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 25,524.45 จุด ลดลง 37.68 จุด หรือ -0.15% (อินโฟเควสท์)
เอเชีย และอื่นๆ
IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.0% ปีนี้/3.1% ปีหน้า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ในวันนี้ โดยได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจโลกประจำปีนี้ ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.0% ในปี 2568 เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย.ที่ระดับ 2.8% หลังจากที่มีการขยายตัว 3.3% ในปี 2567 นอกจากนี้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.1% ในปี 2569 จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 3.0% ขณะเดียวกัน IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 1.9% ในปีนี้ จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.8% และคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะมีการขยายตัว 4.8% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 4.0% ขณะที่คาดว่ายูโรโซนจะขยายตัว 1.0% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 0.8% (อินโฟเควสท์)
อินโดนีเซียเผยยอด FDI ลดลง 6.95% ใน Q2/68 ดิ่งหนักสุดในรอบ 5 ปี กระทรวงการลงทุนของอินโดนีเซียเปิดเผยในวันอังคาร (29 ก.ค.) ว่า ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของอินโดนีเซียปรับตัวลง 6.95% ไตรมาส 2/2568 เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 202.2 ล้านล้านรูเปียห์ (1.23 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2563 กระทรวการลงทุนระบุว่า ภาคส่วนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก FDI ในช่วงเดือนเม.ย.ถึงมิ.ย. ได้แก่ อุตสาหกรรมโลหะพื้นฐาน อุตสาหกรรมเหมือง ธุรกิจบริการ การขนส่ง คลังสินค้า และโทรคมนาคม ทั้งนี้ ข้อมูล FDI ไตรมาส 2/2568 ดังกล่าวไม่นับรวมการลงทุนในภาคธนาคาร และในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ เมื่อรวมกับการลงทุนโดยตรงภายในประเทศแล้ว อินโดนีเซียมียอดรวมการลงทุนโดยตรงทั้งสิ้น 477.7 ล้านล้านรูเปียห์ในไตรมาส 2/2568 ซึ่งสร้างงานได้ 665,764 ตำแหน่ง รายงานของกระทรวงยังระบุด้วยว่า สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีนเป็นแหล่ง FDI รายใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซียในไตรมาส 2/2568 (อินโฟเควสท์)
อินเดียขึ้นแท่นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนส่งออกสหรัฐฯ มากที่สุดใน Q2/68 อินเดียแซงหน้าจีนขึ้นแท่นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนหลักสำหรับตลาดสหรัฐฯ หลังจากที่แอปเปิ้ล (Apple) ได้ขยายฐานการประกอบไอโฟนเข้าสู่อินเดียมากขึ้น ขณะที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายอื่น ๆ ก็ได้กระจายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนไปยังประเทศอื่น ๆ อย่างอินเดียและเวียดนามเช่นกัน เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ข้อมูลจากบริษัทวิจัยคานาลิส (Canalys) บ่งชี้ว่า ในไตรมาสสองของปีนี้ อินเดียขึ้นแท่นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากที่สุดเป็นครั้งแรก คิดเป็นสัดส่วน 44% ขณะที่เวียดนามมาเป็นอันดับ 2 ส่วนจีนซึ่งเคยครองตลาดมากกว่า 60% เมื่อปีที่แล้ว ลดลงเหลือเพียง 25% รายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางการเร่งผลิตของแอปเปิ้ลในอินเดีย ประกอบกับผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายอื่น ๆ เร่งเติมสต็อกสินค้าไว้ล่วงหน้าท่ามกลางความกังวลเรื่องภาษีนำเข้า ส่งผลให้ปริมาณสมาร์ตโฟนที่ผลิตในอินเดียเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยแสดงความไม่พอใจและเรียกร้องให้บริษัทเหล่านี้เพิ่มการผลิตในสหรัฐฯ แม้แอปเปิ้ลจะยังคงผลิตไอโฟนส่วนใหญ่ในจีนและไม่มีฐานการผลิตสมาร์ตโฟนในสหรัฐฯ แต่ก็ได้ประกาศแผนเพิ่มการจ้างงานในสหรัฐฯ รวมถึงแผนลงทุนภายในสหรัฐฯ กว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีข้างหน้า (อินโฟเควสท์)
ทรัมป์ขู่ถล่มโครงการนิวเคลียร์อิหร่านซ้ำ หากยังเดินหน้าฟื้นฟู ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เตือนว่า ตนพร้อมสั่งโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอีกครั้ง หากอิหร่านพยายามเดินหน้าฟื้นฟูโรงงานที่ถูกสหรัฐฯ ถล่มไปเมื่อเดือนก่อน ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ระหว่างการพบปะกับเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่สนามกอล์ฟในสกอตแลนด์ เมื่อวันจันทร์ (28 ก.ค.) ว่า อิหร่านกำลังส่งสัญญาณอันตราย พร้อมกับเตือนว่า สหรัฐฯ จะตอบโต้ทันที หากมีความพยายามใด ๆ ที่จะรื้อฟื้นโครงการนิวเคลียร์ ทรัมป์ระบุว่า สหรัฐฯ ทำลายขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านไปหมดสิ้นแล้ว หากพวกเขาคิดจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เราจะทำลายให้เร็วกว่าเดิมเสียอีก ขณะเดียวกัน อิหร่าน ซึ่งปฏิเสธข้อกล่าวหาว่ามีแผนพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ย้ำว่าจะไม่ยุติการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมภายในประเทศ แม้จะมีการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งก่อนหน้านี้ อับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า อิหร่านตระหนักดีถึงผลกระทบจากการรุกรานของสหรัฐฯ และอิสราเอล พร้อมเตือนว่าหากเกิดการโจมตีอีกครั้ง อิหร่านจะตอบโต้ด้วยวิธีที่เด็ดขาดในลักษณะที่ปิดบังไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมใด ๆ ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีสถานที่นิวเคลียร์หลายแห่งในอิหร่าน โดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่อิหร่านยืนยันว่าโครงการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อการพลเรือนเท่านั้น (อินโฟเควสท์)
โฆษกกลาโหมกัมพูชาโต้ไทย ปัดข่าวละเมิดข้อตกลงหยุดยิง สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงกลาโหมกัมพูชาแถลงปฏิเสธข้อกล่าวหาของกองทัพไทย ที่ระบุว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงด้วยการโจมตีไทย หลังข้อตกลงมีผลบังคับใช้ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเมื่อคืนที่ผ่านมา พลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงต่อสื่อมวลชนในวันนี้ (29 ก.ค.) ว่า "ในนามของกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ดิฉันขอปฏิเสธคำกล่าวอ้างของโฆษกกองทัพไทยที่ว่าเกิดการปะทะกันขึ้น อันเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง" โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวย้ำว่า กองทัพกัมพูชายึดมั่นและปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ที่ผ่านมา (28 ก.ค.) ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ในนามรัฐบาลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยืนยันว่า รัฐบาลไทยมีความจริงใจ และใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะยุติสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเร็วที่สุด โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชน และยึดถืออำนาจอธิปไตยของประเทศเป็นสำคัญ รวมทั้งชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และทหารของชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความหวังร่วมกันของประชาคมโลก ที่จะคืนสันติภาพแก่ประชาชาชนทั้ง 2 ประเทศ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex พุ่งกว่า 400 จุด ซื้อเก็งกำไรหนุนตลาด ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้นกว่า 400 จุด โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อเก็งกำไร หลังตลาดปรับตัวลงติดต่อกัน 3 วันทำการ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 81,337.95 บวก 446.93 จุด หรือ 0.55% หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ (อินโฟเควสท์)
ไทย
7 เดือนแรกปีนี้ ต่างชาติเที่ยวไทยเฉียด 19 ล้านคน จีนเริ่มทยอยกลับมา นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยว ล่าสุดประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-27 ก.ค. 68 ทั้งสิ้น 18,983,936 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 879,977 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 2,635,810 คน มาเลเซีย 2,622,672 คน อินเดีย 1,352,774 คน รัสเซีย 1,105,719 คน และเกาหลีใต้ 881,288 คน โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-27 ก.ค. 68) นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการท่องเที่ยวในช่วง Summer holiday โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ ที่เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากกว่า 21.31% และนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ที่เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นผ่านช่องทางบก จากการท่องเที่ยวในรูปแบบครอบครัว และการขับรถท่องเที่ยวแบบกลุ่ม Big Bike ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาพรวมมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 618,285 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 6,689 คน หรือ 1.09% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 88,327 คน โดย 5 อันดับแรก ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน 102,631 คน มาเลเซีย 84,743 คน อินเดีย 44,024 คน เกาหลีใต้ 35,602 คน และไต้หวัน 20,890 คน (อินโฟเควสท์)
*รมว.คลัง ลั่นพร้อมเดินหน้าเจรจาภาษีสหรัฐหลังไทย-กัมพูชาหยุดยิง มั่นใจได้ต่ำกว่า 36% นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ไทยพร้อมที่จะเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ ทันทีที่กลับมาเปิดโต๊ะเจรจาหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าจะเดินหน้าเจรจาเมื่อทั้งฝ่ายไทย-กัมพูชามีข้อตกลงหยุดยิง โดยฝ่ายไทยยังเชื่อมั่นว่าสหรัฐจะกำหนดอัตราภาษีไทยต่ำกว่า 36% รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวว่า เป็นที่ทราบว่าสหรัฐฯ เปิดทางให้เจรจาต่อแล้ว ซึ่งทันทีที่สหรัฐฯ เปิดเราก็ติดต่อไปในวันนี้เพื่อคุยต่อเนื่อง เชื่อทันตามข้อกำหนดของสหรัฐแน่นอน และจะต้องรอดูว่าสหรัฐจะตัดสินใจอย่างไร ทั้งนี้ หากจะมีการเจรจาร่วมกันก็คงเป็นการพูดคุยกันในระดับของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พร้อมระบุว่า โดยหลักการทั้งหมดแล้วไทยยังเจรจาต่อเนื่อง ซึ่งสหรัฐฯ ได้เห็นข้อเสนอและหลักการของฝ่ายไทยครบหมดแล้ว โดยได้หารือกันไปในแต่ละข้อ ซึ่งหลายข้อได้จบไปแล้ว โดยยังเหลืออีกเพียงบางข้อที่ต้องตกลงกัน พร้อมระบุว่า ไทยมีหน้าที่นำเสนอและตกลงให้ได้ ส่วนการจะประกาศผลออกมาอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของสหรัฐฯ ส่วนความหนักใจที่มีประเด็นชายแดนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐด้วยนั้น นายพิชัย ยอมรับว่า เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากในเรื่องความมั่นคงของประเทศ ซึ่งความมั่นคงของประเทศก็ต้องให้ความสำคัญควบคู่ไปกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ส่วนที่ในเช้านี้ พบว่ายังคงมีการปะทะกันที่บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ หรือไม่นั้น นายพิชัย เชื่อว่า ผู้ประเมินคงเข้าใจสถานการณ์ว่าการปะทะกันคงจะไม่ได้หยุดสนิททีเดียว ต้องดูสถานการณ์ต่อไป ถ้าสถานการณ์ไม่คลี่คลายตามที่ตกลงกันไว้ จะมีการขยายเวลาการผ่อนผันออกไปหรือไม่นั้น นายพิชัย กล่าวว่า ไทยพร้อมเจรจาอยู่ตลอด ส่วนเงื่อนไขจะได้เจรจาต่อหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทางสหรัฐฯ มากกว่า (อินโฟเควสท์)
คลัง เล็งออกมาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยวชุดใหม่ไม่เกิน ก.ย.นี้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางหรือมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเบื้องต้นอาจจะมีการผลักดันมาตรการในการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ซึ่งอาจเป็นในรูปแบบของมาตการทางภาษี โดยขณะนี้กำลังหารือร่วมกันในรายละเอียดอย่างเข้มข้นกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมมองว่า หลังจากได้ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงที่ผ่านมา น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยทำให้สถานการณ์ความเชื่อมั่นในภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้มีหลายข่าวที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดความวิตกกังวล ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับเปลี่ยนวิธีการที่จะทำให้มีความปลอดภัยขึ้น รัดกุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยในเรื่องความรู้สึกของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เกี่ยวกับแนวทางการออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวเพิ่มเติม โดยที่ผ่านมาได้เคยหารือเบื้องต้นไปแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการรอรายละเอียด และความชัดเจนว่ากลุ่มจังหวัดเป้าหมายหลักจะเป็นกลุ่มใด จะทำทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทำเฉพาะเมืองหลัก หรือเฉพาะเมืองรอง ส่วนนี้ยังรอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งพิจารณาหาข้อสรุปก่อน ในส่วนของกรมสรรพากร ยืนยันว่ามีระบบและมีความพร้อมที่จะดำเนินการอยู่แล้ว หลักการเบื้องต้นจะเป็นระบบ e-Tax เหมือนที่เคยดำเนินการไปรอบก่อน หากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งตอบกลับในรายละเอียดก็คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปและจะได้เห็นมาตรการเพิ่มเติมโดยเร็ว ก่อนหน้านี้ ได้มีการดำเนินมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศปี 67 หรือมาตรการภาษี e-Tax Invoice (เที่ยวเมืองรอง) โดยการใช้หลักฐานใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากรจากระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e- Receipt) ของกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.-30 พ.ย.67 (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 16.53 จุดตอบรับไทย-กัมพูชาหยุดยิง ลุ้นผลเจรจาข้อสรุปภาษีสหรัฐ 15-20% SET ปิดวันนี้ที่ 1,233.68 จุด เพิ่มขึ้น 16.53 จุด (+1.36%) มูลค่าซื้อขาย 51,323.28 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยรีบาวด์จากแรงหนุนไทย-กัมพูชาตกลงหยุดยิง และคาดหวังว่าไทยได้ข้อสรุปอัตราภาษีสหรัฐช่วง 15-20% จึงต้องติดตามผลการเจรจาก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดพักตัว แนะติดตามตัวเลข Job Openings ของสหรัฐฯ รวมทั้งการประชุมเฟดเช้าวันที่ 31 ก.ค. ให้แนวรับ 1,223 จุด แนวต้าน 1,243 จุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันนี้ 1,233.68 จุด เพิ่มขึ้น 16.53 จุด (+1.36%) มูลค่าซื้อขาย 51,323.28 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งผันผวนในช่วงเช้าก่อนดีดขึ้นแรงในภาคบ่าย โดยทำระดับสูงสุด 1,235.19 จุด และต่ำสุด 1,213.87 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 327 หลักทรัพย์ ลดลง 140 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 190 หลักทรัพย์ (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 107,544 ล้านบาท สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 107,544 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 41,807 ล้านบาท 2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 702 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 72 ล้านบาท Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.33% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.01% ภาพรวมของตลาดในวันนี้ Yield Curve ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 2-3 bps. ในตราสารระยะยาว สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 64 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 72 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired) 8 ล้านบาท ด้านปัจจัยต่างประเทศ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) โดยจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก EU ในอัตรา 15% ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่จะเรียกเก็บในอัตรา 30% (อินโฟเควสท์)
ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.43/44 อ่อนค่าสุดในภูมิภาค ตลาดรอตัวเลขจ้างงานสหรัฐ คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.30-32.65 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 32.43/44 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากช่วงเช้าเปิดตลาดที่ระดับ 32.44 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ ระหว่างวันเงินบาทยังไร้ปัจจัยใหม่ โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 32.42 - 32.50 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวอ่อนค่าไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยเงินบาทอ่อนค่าสุดในภูมิภาค "ปัจจัยเรื่องความขัดแย้งชายแดนไทยและกัมพูชา ค่อนข้างมีผลจำกัดต่อเงินบาท เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้มีข่าวการหยุดยิงตอนเที่ยงคืน แต่สถานการณ์จริง ก็ยังไม่ได้มีการหยุดยิง และล่าสุดสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ออกมาโพสต์ขอบคุณที่ไทยและกัมพูชาทำข้อตกลงในการหยุดยิงด้วย" นักบริหารเงิน ระบุ สำหรับคืนนี้ รอติดตามตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน และอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนมิ.ย.ของสหรัฐฯ นักบริหารเงิน คาดว่า วันพรุ่งนี้ เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.30 - 32.65 บาท/ดอลลาร์ (อินโฟเควสท์)
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เดือนมิ.ย. จีน
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 (ประมาณการเบื้องต้น) อียู
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค. อียู
ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ค.จาก ADP สหรัฐฯ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2568 (ประมาณการเบื้องต้น) สหรัฐฯ
ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) เดือนมิ.ย. สหรัฐฯ
สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) สหรัฐฯ
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ